เมื่อนักสร้างสรรค์ Homecoming จับมือศิลปินต่างแดน ปั้น ‘ข้าว’
Residency Program: Overseas Creators Collaboration เมื่อนักสร้างสรรค์ Homecoming จับมือศิลปินต่างแดน ปั้น ‘ข้าว’กิจกรรมส่งเสริมการทำงานร่วมกันระหว่างนักสร้างสรรค์คืนถิ่นและนักสร้างสรรค์ในพำนักจากต่างประเทศ (Homecoming Creators and Oversea Creators Collaboration In Residency program) คือ โครงการศิลปินพำนัก ที่ CEA เชียงใหม่ ร่วมกับ Japan Foundation และ Taiwan Designers’ Web ยกระดับเครือข่ายผู้ประกอบการสร้างสรรค์ท้องถิ่นเชื่อมโยงสู่เวทีนานาชาติ ผ่านการเชิญนักสร้างสรรค์งานเซรามิกจากประเทศญี่ปุ่น และไต้หวัน มาใช้ชีวิต เรียนรู้ และพัฒนาผลงานร่วมกันกับสตูดิโอท้องถิ่นที่เชียงใหม่ พร้อมทั้งจัดแสดงผลงานที่เกิดจากการเรียนรู้ตลอดระยะเวลาเกือบหนึ่งเดือนด้วยกัน (สิงหาคม – กันยายน 2567) ภายใต้โจทย์เรื่อง ‘Start from the Rice ’ จิรวงษ์ วงษ์ตระหง่าน และมูเนอากิ อิวาชิตะ (Muneaki Iwashita) นักสร้างสรรค์จากต่างแดนที่มาร่วมโครงการมีด้วยกัน 2 คน ได้แก่ มูเนอากิ อิวาชิตะ (Muneaki Iwashita) ศิลปินเซรามิก และทายาทรุ่นที่ 6 ของ Iwashita Pottery แห่งเมืองมาชิโกะ (Mashiko) ประเทศญี่ปุ่น และ ลิเดีย (Chia, Hsun-Ning) ศิลปินเซรามิก และผู้จัดการ Nie Studio เมืองไทเป ไต้หวัน โดยทั้งสองได้พำนักที่ อินเคลย์ สตูดิโอ (In-Clay Pottery) ของ ชิ-จิรวงษ์ วงษ์ตระหง่าน และชามเริญ สตูดิโอ (Charm Learn Studio) ของ มิก-ณัฐพล วรรณาภรณ์ ตามลำดับ Chia, Hsun-Ning และ ณัฐพล วรรณาภรณ์พร้อมไปกับการแลกเปลี่ยนแนวคิด ทักษะ และประสบการณ์ในการทำงานร่วมกันระหว่างนักสร้างสรรค์จากญี่ปุ่น ไต้หวัน และไทย เจ้าบ้านอย่างมิกและชิยังรับหน้าที่เป็นไกด์อาสา พาแขกรับเชิญเยี่ยมชมย่านสร้างสรรค์และแหล่งผลิตงานเซรามิกชั้นนำในภาคเหนือ ไม่ว่าจะเป็นการไปเรียนรู้ประวัติศาสตร์และวิถีชีวิตดั้งเดิมของเชียงใหม่ ที่หอศิลปวัฒนธรรมเมืองเชียงใหม่ และพิพิธภัณฑ์พื้นถิ่นล้านนา ในย่านเมืองเก่าเชียงใหม่ หมู่บ้านเหมืองกุง แหล่งผลิตน้ำต้น-เครื่องปั้นดินเผาเก่าแก่ของคนในภาคเหนือ รวมถึงโรงงานเซรามิกชั้นนำอย่าง โรงงานธนบดี ในจังหวัดลำปาง Earth & Fire เชียงใหม่ และสตูดิโอของศิลปินอีกมากมายทั่วเมืองไม่เพียงเท่านั้น ในโปรแกรม Residency ครั้งนี้ พวกเขาทั้ง 4 ยังได้รับโจทย์ให้สร้างสรรค์ผลงานเครื่องปั้นดินเผาชุดใหม่ภายใต้แนวคิดเรื่อง ‘Start from the Rice’ ซึ่งจัดแสดงที่ Anantara Chiang Mai Resort เมื่อวันที่ 8 กันยายน 2567 ที่ผ่านมาเริ่มจาก มูเนอากิ ที่นำความประทับใจจาก ‘ห่อตอง’ (ห่อใบตอง) ซึ่งเป็นบรรจุภัณฑ์ดั้งเดิมสำหรับใส่ข้าวเหนียวและอาหารอื่น ๆ ของคนภาคเหนือ มาพัฒนาเป็นงานเซรามิก ก่อนจะตกแต่งด้วยประติมากรรมช้างที่เป็นสัญลักษณ์ของเมืองเชียงใหม่ และประติมากรรมสมเสร็จ สัตว์ที่คนญี่ปุ่นเชื่อว่าจะสามารถดูดกินฝันร้ายได้ โดยสมเสร็จยังเป็นซีรีส์งานปั้นที่ มูเนอากิได้พัฒนาอย่างต่อเนื่องให้กับ Iwashita Pottery ที่บ้านเกิดของเขาอีกด้วย “ผมเพิ่งเคยได้เห็นห่อใบตองเมื่อมาที่เมืองไทยนี่แหละ มันเป็นทั้งภาชนะ และบรรจุภัณฑ์ใส่อาหารที่น่าทึ่งไม่น้อย ผมรู้สึกประทับใจในฟังก์ชั่นอันเรียบง่าย และความชาญฉลาดของคนท้องถิ่นที่ประยุกต์วัสดุธรรมชาติมาเป็นภาชนะอย่างยั่งยืน จึงทดลองนำรูปทรงของมันมาใช้กับงานปั้น โดยยังคงรักษาฟังก์ชั่นดั้งเดิมในการใส่อาหารได้อยู่ ขณะเดียวกัน ก็อยากทำให้งานชิ้นนี้มันสามารถเป็นของที่ระลึกและของตบแต่งได้ด้วย จึงใส่สัญลักษณ์ของสัตว์จากเชียงใหม่และบ้านเกิดผมเข้ามา ซึ่งก็ช่วยลดทอนความทึบและหนาของชิ้นงานหลักได้ดี” Muneaki กล่าวขณะที่ ชิ-จิรวงษ์ ผู้เปิดอินเคลย์ สตูดิโอ ให้ Muneaki พำนัก เลือกนำเสนอชุดงานเซรามิกภายใต้แนวคิด Rice Grains: Farming, Cooking and Forming (กระบวนการผลิตข้าวแบบประเพณี การจัดสำรับในมื้ออาหารที่ประกอบไปด้วยอาหารที่หลากหลาย และรูปร่างของเมล็ดและจมูกข้าวที่มีเอกลักษณ์ที่แตกต่างกัน) ปรากฏในรูปของถ้วยชามรูปทรงเมล็ดข้าวแบบผ่าครึ่งหลากหลายขนาด ซึ่งใช้กระบวนการเคลือบพื้นผิวให้มีสีขาวนวลและมันวาวเฉกเช่นกับเมล็ดข้าวของจริง “ผมสนใจกระบวนการลงแขก เก็บเกี่ยวข้าวของชาวนาที่สะท้อนความร่วมแรงร่วมใจ และความสัมพันธ์ของผู้คนในท้องถิ่น และนอกจากการจำลองรูปลักษณ์ของเมล็ดข้าว ผมยังเลือกที่จะทำภาชนะใส่อาหารหลายรูปทรง ซึ่งสะท้อนวัฒนธรรมการกินอาหารร่วมกันของคนไทยไปพร้อมกัน” ชิ กล่าวด้วยความประทับใจที่ได้เห็นตะกร้าพลาสติกสำหรับใส่ขนมจีน ในร้านขนมจีนริมทางที่กาดหลวง ลิเดีย นักสร้างสรรค์จากไต้หวันที่เข้าพักและผลิตผลงานที่ชามเริญ สตูดิโอ จึงนำรูปทรงดังกล่าวมาพัฒนาร่วมกับเทคนิคการทำเซรามิกสาน อันคล้ายคลึงกับผลงานสร้างชื่อของเธอเองอย่าง Fiber Ceramic ที่เธอนำเชือกมาเป็นวัตถุดิบร่วมในงานเครื่องปั้นดินเผา ไม่เพียงเท่านั้น ลิเดียยังนำเสนอซีรีส์งานประติมากรรมที่เกิดจากการทดลองนำเมล็ดข้าวมาเป็นวัตถุดิบร่วมในงานปั้น อาทิ ถ้วยชามที่เกิดจากการนำเมล็ดข้าวมาคลุกกับเนื้อดินก่อนขึ้นรูปและเข้าเตาเผา การนำเมล็ดข้าวมาประดับตกแต่งบนพื้นผิว และชุดงานประติมากรรมที่ใช้เมล็ดข้าวมาสร้างเลเยอร์ซ้อนทับ เป็นต้น “การใช้ชีวิตอยู่ที่เชียงใหม่เกือบหนึ่งเดือน ทำให้ฉันประทับใจเสน่ห์ที่เกิดจากความหลากหลายทางวัฒนธรรมของผู้คนที่นี่ รวมถึงการผสมผสานความเก่า-ใหม่ คละเคล้ากันในชิ้นงานและพื้นที่สร้างสรรค์ที่กระจายตัวอยู่ทั่วเมือง และความที่ฉันสนใจในการทดลองหาความเป็นไปได้ใหม่ ๆ จากการผสมผสานวัสดุอยู่แล้ว การได้มาที่นี่ ก็ทำให้ยิ่งรู้สึกสนุกกับการทำงานมากขึ้นไปอีก” ลิเดีย กล่าวปิดท้ายที่มิก แห่ง ชามเริญ สตูดิโอ ที่นำความประทับใจจากวัฒนธรรมกินข้าวเหนียวด้วยมือของคนภาคเหนือ (และวัฒนธรรมร่วมของคนอาเซียน) มาผสานกับลูกเล่นสนุก ๆ ที่เขาประยุกต์มาจากเครื่องประดับสอดนิ้วสำหรับการฟ้อนเล็บของช่างฟ้อนล้านนา จนเกิดเป็นซีรีส์เซรามิก ‘เล่น-กิ๋น-แต้’ (Journey with Sticky Rice) ที่มิกนำเสนอชุดภาชนะสำหรับการรับประทานอาหารที่ชวนให้ผู้ใช้สอดนิ้วเข้าไป “จริง ๆ สตูดิโอของผมก็อยู่ริมทุ่งนาอยู่แล้ว แต่การได้ย้อนกลับมาสำรวจวิถีชีวิตและแวดวงศิลปวัฒนธรรมในเชียงใหม่บ้านเกิดของผมเองอีกครั้งตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมา ทำให้ผมกลับมามองวัฒนธรรมการกินข้าว โดยเฉพาะการกินข้าวเหนียวของคนเมืองในมุมใหม่ เลยอยากนำเสนอความสนุกจากการกิน และการประยุกต์รูปแบบการจัดอาหารท้องถิ่น ที่สอดคล้องกับภาชนะในจินตนาการนี้” มิก นักออกแบบที่สร้างชื่อจากการนำแรงบันดาลใจในวิถีชีวิตประจำวันของคนไทย มาพัฒนาเป็นงานเซรามิกร่วมสมัย กล่าวเหล่านี้คือบางส่วนของผลลัพธ์จากนักสร้างสรรค์ 4 คน จาก 3 ประเทศ ที่เข้าร่วมโครงการ กิจกรรมส่งเสริมการทำงานร่วมกันระหว่างนักสร้างสรรค์คืนถิ่นและนักสร้างสรรค์ในพำนักจากต่างประเทศ โดย CEA ซึ่งแน่นอน หาใช่การได้มาแค่ผลงานชุดใหม่ ที่นักออกแบบจะสามารถนำไปพัฒนาเป็นสินค้าเพื่อวางจำหน่ายต่อไป (รวมถึงจะถูกนำไปจัดแสดงใน Chiang Mai Design Week 2024 เดือนธันวาคมนี้) หากการได้แลกเปลี่ยนแนวคิดและประสบการณ์การทำงานร่วมกันตลอดเกือบหนึ่งเดือนที่ผ่านมา ก็นับเป็นเชื้อไฟชั้นดีให้พวกเขานำไปต่อยอดเป็นผลงานในโปรเจกต์ใหม่ ๆ ต่อไป ที่สำคัญและอย่างไม่อาจปฏิเสธ กิจกรรมครั้งนี้ยังเผยให้เห็นความเป็นไปได้ใหม่ ๆ ในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ข้ามวัฒนธรรม และเปิดโอกาสให้นักสร้างสรรค์บ้านเรา ค้นพบที่ทางในการนำผลงานไปเฉิดฉาย และเข้าถึงตลาดสินค้าสร้างสรรค์ระดับนานาชาติต่อไปไม่เพียงเป็นเจ้าบ้านที่ต้อนรับนักสร้างสรรค์จากต่างแดนอย่างดี ล่าสุด ผลงานบางส่วนของอินเคลย์ สตูดิโอ และชามเริญ สตูดิโอ ยังได้รับการคัดเลือกโดย MUJI ประเทศไทย ไปพัฒนาเป็นสินค้าภายใต้โครงการ Found MUJI Thailand ซึ่งมีกำหนดวางจำหน่ายในร้านสาขาของ MUJI ที่ศูนย์การค้า One Siam กรุงเทพฯ และ MUJI Flagship Store ที่ Central Chiangmai Airport เชียงใหม่ ในเดือนพฤศจิกายนนี้
ย่านสร้างสรรค์ = พื้นที่ของทุกคน
Upper Floor Project และ Green Garden เชียงใหม่ เมืองที่เป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ของภาคเหนือ หากก็กำลังประสบกับปัญหาที่ตามมาจากการพัฒนาไม่น้อย อาทิ การเปลี่ยนแปลงพื้นที่เพื่อเปลี่ยนชนชั้น (gentrification) การขาดแคลนของพื้นที่สีเขียว ไปจนถึงปัญหาเศรษฐกิจ ในปีนี้ CEA เชียงใหม่ ได้ร่วมกับเครือข่ายชุมชนเข้าไปขับเคลื่อนโครงการในย่านการค้าเก่าแก่ของเมืองอย่าง ‘ช้างม่อย – ราชวงศ์’ เริ่มจากโครงการ Upper Floor ซึ่งเป็นการต่อยอดจากนิทรรศการชื่อเดียวกันในเทศกาลงานออกแบบเชียงใหม่ (Chiang Mai Design Week) เมื่อปีก่อน โครงการชี้ชวนให้คนในย่านกลับมาสำรวจพื้นที่ชั้นบนของอาคารพาณิชย์ของตัวเอง เพื่อหาความเป็นไปได้ใหม่ ๆ ในการสร้างพื้นที่ทางธุรกิจ รวมถึงการสำรวจความต้องการถึงรูปร่างหน้าตาหรือรูปแบบของกิจการสร้างสรรค์ที่จะเกิดขึ้นในพื้นที่แนวตั้ง รวมถึงพื้นที่ว่างในย่านที่หลายคนอาจมองข้าม จึงนำมาสู่การเปิดพื้นที่ Upper Floor 2 แห่งใหม่ (ต่อจากอาคารมัทนาที่ใช้เป็นที่จัดนิทรรศการเมื่อปีที่แล้ว) ได้แก่ ‘บ้าน 2 ชั้น บนถนนช้างม่อยเก่า’ และ ‘The Goodcery Chiang Mai’ บนถนนราชวงศ์ พร้อมทั้งได้ผู้ประกอบการสร้างสรรค์ 4 กลุ่มที่นำร่องเข้ามาใช้พื้นที่ทั้งสอง ได้แก่ กลุ่มศิลปินเพอร์ฟอร์แมนซ์ Basement Performance Arts และแบรนด์เสื้อผ้า Longgoy Studio (ใช้พื้นที่บ้าน 2 ชั้น) กลุ่มศิลปินพำนัก 888 Studio Residency และแบรนด์เสื้อผ้า Thee (ใช้พื้นที่ชั้น 2 ของ The Goodcery Chiang Mai) ซึ่งต่างเข้ามาเปลี่ยนพื้นที่ดั้งเดิมให้กลายเป็น สตูดิโอซ้อมการแสดง แกลเลอรีศิลปะ และโชว์รูมจำหน่ายสินค้าตามลำดับ ทั้งนี้ นักสร้างสรรค์ทั้ง 4 กลุ่มยังได้ทำเวิร์กช็อปร่วมกับผู้คนในย่านทุกช่วงวัย เพื่อเป็นการสร้างโอกาสไปจนถึงการเพิ่มพูนทักษะใหม่ ๆ ให้กับคนในพื้นที่ให้ตอบโจทย์กับการทำย่านเศรษฐกิจสร้างสรรค์สำหรับทุกคนอีกด้วย ไม่เพียงแค่สร้างพื้นที่ทางเศรษฐกิจเพื่อกระตุ้นการลงทุน ในย่านช้างม่อย-ราชวงศ์ ยังมีอีกโครงการที่น่าสนใจอย่าง Green Garden หรือโครงการเพิ่มพื้นที่สีเขียวให้ย่านการค้าเก่าแก่ของเมืองแห่งนี้ ไม่ว่าจะเป็นการทำสวนผักสำหรับคนในย่าน สวนแนวตั้ง และการปรับปรุงภูมิทัศน์ริมทางให้มีความร่มรื่นส่งเสริมการเดินเท้ามากขึ้น ส่งเสริมภูมิทัศน์และบรรยากาศย่านให้น่าอยู่ตามมาอีกด้วย
ปลุกเศรษฐกิจไทยด้วยพลังสร้างสรรค์ท้องถิ่น: สนทนากับ พิชิต วีรังคบุตร
แม้จะผ่านไปเพียงครึ่งปี หากกล่าวได้ว่าปี 2567 ถือเป็นปีที่สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (CEA) มีความเคลื่อนไหวในท้องถิ่นอย่างน่าตื่นตาตื่นใจเป็นพิเศษ เพราะไม่เพียงการประกาศความร่วมมือกับหน่วยงานท้องถิ่นในการเปิดศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบแห่งใหม่ หรือ New TCDC เพิ่มอีกถึง 10 จังหวัดทั่วประเทศ CEA ยังมีส่วนสนับสนุนให้เกิดเทศกาลสร้างสรรค์จากเหนือจรดใต้ ทั้งในเชียงราย ขอนแก่น และสงขลา รวมถึงเพิ่งประกาศธีมหลักสำหรับเทศกาลงานออกแบบเชียงใหม่ 2567 (Chiang Mai Design Week 2024) ที่จะจัดที่เชียงใหม่เดือนธันวาคมนี้ตั้งแต่เนิ่น ๆ เท่านั้นยังไม่พอ CEA ยังได้จับมือกับเครือข่ายนักสร้างสรรค์ท้องถิ่น ร่วมกันจัดกิจกรรมขับเคลื่อนเมืองผ่านเครื่องมือ ‘ย่านสร้างสรรค์’ ในโครงการ ‘เครือข่ายย่านเศรษฐกิจสร้างสรรค์ประเทศไทย’ (Thailand Creative District Network : TCDN) ซึ่งเริ่มขับเคลื่อนใน 5 จังหวัดในภาคเหนือ (เชียงราย ลำพูน ลำปาง น่าน และพิษณุโลก) ไปแล้ว “หนึ่งในภารกิจหลักของ CEA คือการกระจายองค์ความรู้ด้านเศรษฐกิจสร้างสรรค์สู่ส่วนภูมิภาค เราตั้งใจจะสร้างระบบนิเวศสร้างสรรค์ที่ครอบคลุมทั่วประเทศ ด้วยเหตุนี้ ควบคู่ไปกับการจัดตั้งแพลตฟอร์มสำหรับท้องถิ่น กิจกรรมอันหลากหลายที่ใช้กระตุ้นองค์ความรู้ในแต่ละจังหวัดจึงต้องเกิดขึ้นด้วย” พิชิต วีรังคบุตร รองผู้อำนวยการ CEA หนึ่งในหัวเรือใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังการขับเคลื่อนที่ว่า กล่าวSCALING LOCAL: Creativity, Technology and Sustainability เทศกาลงานออกแบบเชียงใหม่ 2567 (Chiang Mai Design Week 2024) ที่เพิ่งประกาศธีมในการจัดงานในชื่อ SCALING LOCAL : Creativity, Technology and Sustainability พร้อมรายชื่อของเหล่านักสร้างสรรค์ที่เข้าร่วมเทศกาลในวันที่ 7 – 15 ธันวาคม 2567 นี้ไป ในฐานะที่พิชิตคือหนึ่งในกรรมการคัดสรร และผู้ร่วมร่างแนวคิดหลักของเทศกาลในปีนี้ เราจึงชวนเขาพูดคุยถึงแนวคิดเบื้องหลังและความคาดหวังที่จะได้เห็นเทศกาลใหญ่ในปลายปีนี้ “ตามชื่อของธีมเลยครับ SCALING LOCAL คือแนวคิดที่เราอยากเทียบสเกลของอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ท้องถิ่นในภาคเหนือกับความเป็นสากล ซึ่งที่ผ่านมา เราพบว่ามีผลงานของนักออกแบบและผู้ประกอบการสร้างสรรค์ในภาคเหนือไม่ใช่น้อยที่มีมาตรฐานในระดับสากล เช่นเดียวกับการเห็นแนวโน้มศักยภาพของนักสร้างสรรค์รุ่นใหม่ ๆ ที่สามารถไปถึงตลาดต่างประเทศได้ “ส่วนคำว่า Creativity, Technology และ Sustainability ผมมองว่ามันเป็นองค์ประกอบของการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมสร้างสรรค์อยู่แล้ว โดยตลอด 10 ปีที่ผ่านมา เชียงใหม่ดีไซน์วีกก็ได้ใช้องค์ประกอบนี้ในการจัดงานมาตลอด เพียงแต่ครั้งนี้ เรานำ 3 คำนี้มาไฮไลท์ให้เด่นชัดขึ้น ยิ่งเมื่อพิจารณากับบริบทของยุคสมัยปัจจุบัน ซึ่งเราจะยึดโยงอยู่กับความคิดสร้างสรรค์ (Creativity) หรือต้นทุนของความเป็นเมืองหัตถกรรมของภาคเหนืออย่างเดียวไม่ได้แล้ว แต่จำเป็นต้องอาศัยเทคโนโลยี (Technology) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและมูลค่า รวมถึงการตั้งคำถามว่าจะทำอย่างไรให้ผลงานสร้างสรรค์ที่ผสานกับเทคโนโลยีแล้วให้มีความยั่งยืน (Sustainability) ทั้งในบริบทของสิ่งแวดล้อม และโมเดลของการทำธุรกิจ” พิชิต เล่า “ในอีกแง่มุม ผมมองว่า Scaling Local มันคือการทำห้องทดลองด้านความคิดสร้างสรรค์ด้วย เพราะอันที่จริง การคัดสรรผลงานมาจัดแสดงในเทศกาลฯ เราไม่ได้มองว่าผลงานทั้งหมดคือผลสำเร็จของนักออกแบบหรือผู้ประกอบการ แต่เป็นการทำให้ผู้ชมได้เห็นกระบวนการสร้างสรรค์ระหว่างทางที่ชวนให้ทุกคนนำไปคิดต่อยอดหรือเป็นแรงบันดาลใจ บางผลงานที่ได้จัดแสดงอาจอยู่ในขั้นตอนของการพัฒนา เราก็อาจช่วยเขาคิดต่อ รวมถึงการได้จัดแสดงในเทศกาลฯ ผ่านสายตาของผู้ชมที่หลากหลาย เหล่านี้มันมีผลต่อการยกระดับงานออกแบบของผู้เข้าร่วมงานอย่างเห็นได้ชัด “ซึ่งสิ่งนี้แหละคือหัวใจสำคัญ เราไม่ได้จัดดีไซน์วีกขึ้นมาเพื่อเฉลิมฉลองความสวยงามของเมือง หรือแค่ทำนิทรรศการเท่ ๆ หรือวางประติมากรรมสวย ๆ ไว้ตามจุดต่าง แต่มันเป็นการทดลองความคิดสร้างสรรค์หรือความเป็นไปได้ใหม่ ๆ ของผู้ที่มาร่วมแสดงงาน อย่างที่คุยเมื่อกี้ เครื่องยนต์อะไรที่มันทำงานอยู่แล้วในเมือง ก็ให้ทำงานต่อไปเถอะ หน้าที่ของเทศกาลฯ คือการเชื่อมหรือสร้างให้เกิดเครื่องยนต์ใหม่ ๆ ให้มาช่วยขับเคลื่อนเมือง “อย่าลืมว่าเทศกาลมันมีแค่ 9 วัน สิ่งสำคัญคือหลังจากนั้นต่างหากว่ามันจะไปตั้งคำถามหรือเปิดประเด็นอะไรต่อให้กับเศรษฐกิจสร้างสรรค์ของเมือง แต่ระหว่าง 9 วันนั้น เราก็จำเป็นต้องเปิดศักยภาพของเมืองให้เต็มที่ ให้เห็นว่าย่านไหน ซอยไหน หรือพื้นที่ไหนมันสามารถไปต่อยอดเศรษฐกิจของเมืองได้ “ยกตัวอย่างนิทรรศการ Upper Floor ปีที่แล้ว ที่ช่วยจุดประกายการรับรู้การใช้พื้นที่ชั้นบนของอาคารพาณิชย์ในย่านการค้า ซึ่งมันอาจมารับมือความท้าทายเรื่องค่าเช่าที่นับวันจะสูงขึ้นทุกทีในย่านการค้าซึ่งเป็นแบบนี้เหมือนกันทั่วโลก เพราะความสำคัญของเทศกาลคือเรื่องนี้ การสำรวจศักยภาพของท้องถิ่น หาความเป็นไปได้ใหม่ ๆ และหาวิธีหนุนเสริมด้วยปัจจัยต่าง ๆ ให้ความเป็นไปได้นั้นสามารถแก้ปัญหาของเมือง หรือทำให้ผู้คนในเมืองนั้นมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น มันจึงต้องดูทำกันต่อไป และคิดกับมันต่อไป” พิชิต กล่าวทิ้งท้าย
รู้จักตัวเอง เข้าใจลูกค้า และเท่าทันโลกใน Co-Creative Workshop: Academic Program
“เมื่อเป็นเจ้าของแบรนด์ คุณไม่สามารถจำกัดตัวเองว่าจะเป็นแค่นักออกแบบหรือผู้ผลิตได้อย่างเดียว คุณจำเป็นต้องทำความเข้าใจทุกอย่างที่หมุนรอบธุรกิจคุณ เข้าใจตัวเอง เข้าใจลูกค้า และเข้าใจเทรนด์ของโลกว่ากำลังเคลื่อนไปทิศทางไหน คุณไม่จำเป็นต้องทำได้ทุกอย่าง แต่ถ้าเข้าใจเรื่องเหล่านี้ คุณก็สามารถขับเคลื่อนธุรกิจไปถึงจุดที่คุณอยากให้เป็นได้” เอก-ศรัณญ อยู่คงดี นักออกแบบและเจ้าของแบรนด์ SARAAN กล่าวข้อความข้างต้น ตัดมาจากงานเสวนา Talk Series: “Creative, Design, Technology, and Sustainable” ในหัวข้อ Business Model Canvas (BMC) for Creative Industries ที่ศรัณญเป็นหนึ่งในวิทยากรร่วมกับ เมย์ – ธนิดา ดลธัญพรภคภพ ผู้ก่อตั้งตั้งแบรนด์ IRA Natural Product และ ปุ๊-สมภพ ยี่จอหอ ผู้ก่อตั้งแบรนด์ Doister (ดำเนินรายการโดย อรช บุญ-หลง)งานเสวนานี้เป็นส่วนหนึ่งของ Co-Creative Workshop: Academic Program กิจกรรมพัฒนาและส่งเสริมวิชาชีพแรงงานอุตสาหกรรมสร้างสรรค์สำหรับนักศึกษาและผู้ประกอบการระยะเริ่มต้น ด้านการออกแบบ ความคิดสร้างสรรค์ เทคโนโลยี และความยั่งยืน ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 20 – 23 กรกฎาคม 2567 โดย CEA เชียงใหม่ ร่วมกับ เมืองงาม ครีเอชั่น ซึ่งวิทยากรทั้ง 3 ท่านได้รับเชิญให้มาแลกเปลี่ยนประสบการณ์การสร้างแบรนด์ และการขับเคลื่อนธุรกิจของตนเองให้กับเหล่านักศึกษาและกลุ่ม startups รุ่นใหม่ในเชียงใหม่ เพื่อสกัดแนวคิดและประสบการณ์ไปประยุกต์ใช้ในการพัฒนาแบรนด์ของเหล่านักสร้างสรรค์รุ่นใหม่ต่อไป และต่อจากนี้คือบางส่วนของเสวนากระตุ้นไฟสร้างสรรค์ดังกล่าวเรื่องเล่าคือหัวใจสำคัญของงานสร้างสรรค์เอก-ศรัณญ อยู่คงดี เป็นนักออกแบบเครื่องประดับ ผู้เคยกวาดรางวัลการออกแบบชั้นนำทั้งระดับประเทศและนานาชาติมาแล้วมากมาย เขาก่อตั้ง SARAAN ในปี 2551 และใช้เวลาไม่นานในการสร้างชื่อเสียงระดับโลก ผ่านการนำเสนอเสน่ห์ของผู้หญิงและดอกไม้พื้นถิ่นของไทยอย่างวิจิตรและร่วมสมัย ผลงานของเขาเป็นที่ชื่นชอบของเหล่าเซเลบริตี้ระดับโลกหลายคน ไม่ว่าจะเป็น บียอนเซ่ (Beyonce) ริฮานนา (Rihanna) ไปจนถึง อลิเชีย คีส์ (Alicia Keys) ที่เคยใส่เครื่องประดับของเขาในงานเปิดศูนย์การค้า ICONSIAM และลิซ่า–ลลิษา มโนบาล ที่ใส่เครื่องประดับของเขาเข้าฉากในมิวสิกวิดีโอเพลง LALISA เป็นต้นในงานเสวนา เอกบอกเล่าถึงจุดเริ่มต้นของแรงบันดาลใจเกี่ยวกับบทบาทของผู้หญิง และการลงลึกค้นคว้าในเรื่องที่สนใจ ก่อนจะพัฒนาออกมาเป็นงานออกแบบที่สะท้อนความเป็นตัวของตัวเอง เขาเล่าว่า กระบวนการค้นคว้าเชิงลึกในแพสชั่น (passion) ของตัวเองคือสิ่งสำคัญ เพราะนั่นจะทำให้เรารู้จัก ‘เรื่องเล่า’ ที่แฝงอยู่ในสิ่งที่เราจะออกแบบ “Storytelling คือเรื่องที่เราปฏิเสธไม่ได้ ขณะที่ SARAAN นำเสนอความพิถีพิถันของงานแฮนด์เมดเพื่อสร้างมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์ เรื่องเล่าที่มาพร้อมกัน จะช่วยสร้างคุณค่า และทำให้ผลิตภัณฑ์เป็นมากกว่าแค่สิ่งของเพื่อการใช้งาน แต่เป็นสาส์นที่ใช้สื่อสารกับผู้คนและสังคมต่อไป” เอก กล่าวภาพถ่ายจาก https://www.instagram.com/sarranofficial/ เรื่องเล่าในผลงานของศรัณญ ครอบคลุมทั้งภูมิปัญญาดั้งเดิมของไทย วิถีอันสง่างามของผู้หญิง ไปจนถึงความเท่าเทียมทางเพศ สิ่งเหล่านี้เมื่อมาผสานกับความคิดสร้างสรรค์อันสดใหม่ จึงนำมาสู่อัตลักษณ์ไทยร่วมสมัยอันเปี่ยมเสน่ห์ และไม่เกินเลยที่จะบอกว่างานของเขาเป็นซอฟต์พาวเวอร์ (soft power) อันหลักแหลมของไทย เมื่อมันถูกเผยแพร่ และได้รับเสียงชื่นชมบนเวทีโลก“ผมสนใจในบทบาทและความงดงามของวิถีผู้หญิงไทย โดยตลอดสิบกว่าปีที่ผ่านมานี้ ผมใช้แรงบันดาลใจนี้มาสร้างสรรค์งาน ขณะเดียวกัน ก็พยายามปรับตัวให้เข้ากับเทรนด์ของโลก โดยเฉพาะความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อม ผู้หญิงไทยในมุมมองผม จึงไม่ใช่คนที่เอาแต่สวมชุดไทยและนั่งพับเพียบเรียบร้อย แต่เป็นผู้หญิงหัวสมัยใหม่ที่เท่าทันโลก และใส่ใจในความยั่งยืน” เอกยังเสริมอีกว่าการให้ความสำคัญกับอดีต การอยู่กับปัจจุบัน และตระหนักถึงความเปลี่ยนแปลงในอนาคต จะทำให้เรื่องเล่าในผลิตภัณฑ์ของเรามีความเข้มแข็งและไม่ตกยุค และถึงแม้ผลงานของเขาอาจไม่ใช่งานอุตสาหกรรมที่รองรับผู้บริโภคกลุ่มใหญ่ เขาก็ยังเชื่อว่า เมื่อผลงานถูกเผยแพร่ออกไปผ่านสื่อและการบอกต่อ มันก็มีส่วนสร้างสุนทรียะและแรงบันดาลใจให้คนหมู่มากได้ “ผมคิดว่านักออกแบบ คนทำงานศิลปะ ไปจนถึงแบรนด์สินค้าเชิงสร้างสรรค์ มันมีส่วนทำให้โลกทุกวันนี้น่าอยู่มากขึ้นนะ ถ้าคนที่สนใจแบรนด์ของเราได้ทัศนคติแง่บวกต่อไปได้ นี่จะเป็นแรงขับในการใช้ชีวิต และส่งต่อพลังบวกออกไปสู่สังคมต่อไป” เอก กล่าวทิ้งท้ายPeople – Profit – Planetเริ่มต้นจากการที่ เมย์-ธนิดา ดลธัญพรภคภพ เป็นผู้บริโภคที่ตระหนักว่าสินค้าเครื่องสำอางอย่างลิปบาล์มและอื่น ๆ สร้างภาระให้ธรรมชาติทั้งจากกระบวนการผลิตและขยะจำนวนมาก อีกทั้งเธอยังพบว่าที่ผ่านมา อุตสาหกรรมความงามได้ผลิตขยะจากบรรจุภัณฑ์มากกว่า 120,000 ล้านชิ้นต่อปี เธอจึงคิดถึงวิธีการทำธุรกิจในสิ่งที่เธอชอบอย่างเครื่องสำอาง โดยหลีกเลี่ยงการซ้ำเติมภาระให้โลกมากไปกว่านี้ นั่นทำให้เธอคิดค้นลิปบาล์มออร์แกนิก ปลอดสารเคมี 100% ที่ปลอดภัยต่อผู้ใช้ และปลอดกระบวนการที่สร้างภาระให้สิ่งแวดล้อม เธอเริ่มทดลองตลาดตั้งแต่ช่วงเรียนมหาวิทยาลัย และภายหลังที่ได้รับเสียงตอบรับที่ดีมาก จึงยกระดับสินค้า และทำแบรนด์ผลิตภัณฑ์รักษ์โลกในราคาที่คนไทยเอื้อมถึง เข้าวงการธุรกิจอย่างจริงจังหลังเรียนจบก่อตั้งในปี 2562 แบรนด์ IRA (ไอรา) ของเมย์มีรากศัพท์มาจากภาษาสันสกฤต แปลว่า “โลกหรือผู้ดูแลโลก” ชื่อดังกล่าวสะท้อนจุดยืนอันเข้มข้นของแบรนด์ ทั้งกระบวนการผลิต และการใช้บรรจุภัณฑ์ที่ทำจากกระดาษย่อยสลายได้แทนพลาสติก รวมถึงการเลือกใช้พลาสติก PCR (Post-Consumer Recycled Plastic) ที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้สำหรับบรรจุภัณฑ์ที่จำเป็น ปัจจุบัน ผลิตภัณฑ์ของ IRA ครอบคลุมตั้งแต่ลิปบาล์ม ลิปสครับ แป้งพัฟแบบรีฟิลที่ไม่ผสมทัลคัม (Talcum) ซึ่งเป็นอันตรายต่อระบบทางเดินหายใจผู้ใช้ สครับผิว และสเปรย์จัดแต่งทรงผม ทั้งหมดล้วนมาจากวัตถุดิบธรรมชาติ ซึ่งยังรวมถึงผลิตภัณฑ์สำหรับใช้ในชีวิตประจำวันอื่น ๆ อย่าง ชุดช้อนส้อมที่ผลิตจากฟางข้าวสาลี และกระเป๋าเครื่องสำอางผ้าทอที่ผลิตด้วยศิลปินที่เป็นออทิสติก โดยทั้งหมดยังสะท้อนจุดยืน 3Ps (People, Profit และ Planet) ของแบรนด์ IRA อย่างชัดเจน “IRA ดำเนินธุรกิจภายใต้หลัก 3Ps คือ ผู้คน (people) ผลกำไร (profit) และโลกที่เราอาศัย (planet) เพื่อทำให้ธุรกิจนี้มีความยั่งยืนทั้งในด้านเศรษฐกิจ ชุมชน และสิ่งแวดล้อม เช่น กระเป๋าเครื่องสำอางที่เราร่วมกับ พิเศษพิสุทธิ์ (Piset Pisut) แบรนด์ไทยที่นำผ้าทอซาโอริจากเชียงใหม่มาเป็นวัตถุดิบ โดยมีน้อง ๆ ที่เป็นออทิสติกเป็นคนทอผ้า ราคาของสินค้าอาจสูงกว่าโรงงานทั่วไป แต่เมย์รู้สึกว่าทุกครั้งที่เราจ่ายเงินออกจะมีใครบางคนที่ได้ประโยชน์” เมย์ กล่าวภาพถ่ายจาก https://www.iranatural.com/ นอกจากนี้ IRA ยังทำงานร่วมกับแบรนด์ กอกก (Korkok) จากจันทบุรี ซึ่งเป็นแบรนด์ผลิตเสื่อกกโดยแม่ครูอาวุโสของชุมชน ซึ่งเมย์ได้นำผลงานทอกกของชุมชนมาทำเป็นกระเป๋า อีกด้วยไม่เพียงความคิดว่าจะทำผลิตภัณฑ์ที่สร้างผลกระทบเชิงบวกต่อห่วงโซ่ของชุมชนและสิ่งแวดล้อม การทำการตลาดที่ให้ความสำคัญกับความต้องการของลูกค้า และการสร้างคอมมูนิตี้ก็เป็นเรื่องที่เมย์ยึดมั่นเรื่อยมานับตั้งแต่ก่อตั้งแบรนด์ จึงนำมาสู่กิจกรรม One Day with Ira ที่เมย์ชวนลูกค้ามาพบปะกันเดือนละครั้ง เพื่อพูดคุยแลกเปลี่ยนถึงจุดแข็งและจุดอ่อนของผลิตภัณฑ์ร่วมกัน “เมย์มักพูดเสมอว่าเราไม่ได้เป็นคนคิดค้นสินค้า IRA เองเลย ลูกค้าต่างหากที่คิดให้ทั้งหมด และเป็นเช่นนั้นจริง ๆ ลูกค้าเราน่ารักมากที่เราสามารถโทรไปคุยเป็นชั่วโมง เพื่อรับฟังคำแนะนำอย่างจริงใจ เรียกว่าเป็นที่ปรึกษาคนหนึ่งเลย นั่นทำให้เรากล้าที่จะส่งตัวอย่างสินค้าที่ยังไม่วางจำหน่ายไปให้ทดลองใช้ และขอฟีดแบ็คเช่นเดียวกัน เราวางทิศทางของแบรนด์ให้เป็นเหมือนเพื่อนของผู้บริโภค แลกเปลี่ยน รับฟัง และนำไปพัฒนาต่อ อาจเป็นแนวทางหนึ่งให้คนที่สนใจทำธุรกิจนำไปปรับใช้ได้” เจ้าของแบรนด์เครื่องสำอางที่ล่าสุดเพิ่งได้รับรางวัล Marketing Leader of The Year (Silver) จาก Marketing Excellence Awards 2023 กล่าวทิ้งท้ายธุรกิจบนสะพานเชื่อมความยั่งยืนปิดท้ายที่ Doister ของ ปุ๊ – สมภพ ยี่จอหอ แบรนด์ที่ทำหน้าที่เป็นทั้งนักพัฒนาและผู้ประกอบการเชื่อมคนในเมืองให้เข้าถึงคุณค่าจากผลิตภัณฑ์ของชาวชาติพันธุ์บนดอย รวมถึงการท่องเที่ยวโดยชุมชนในจังหวัดแม่ฮ่องสอน ด้วยเชื่อว่าอัตลักษณ์จากวิถีชาติพันธุ์ก็มีความเฉียบเท่ได้ จึงนำมาสู่การตั้งกลุ่มธุรกิจเพื่อสังคม Doister (ดอยสเตอร์) ซึ่งเกิดจากการผสมคำระหว่าง ‘ดอย’ และ ‘ฮิปสเตอร์’ ที่เป็นนิยามเรียกกลุ่มคนทันสมัยในช่วงที่ธุรกิจนี้ก่อตั้ง (ปี 2559) ควบคู่ไปกับการสร้างแพลตฟอร์มนักสื่อสารเรื่องคนบนดอยให้คนในเมือง อีกหนึ่งโครงการที่ปุ๊นำมาแบ่งปันในงานเสวนาฯ คือธุรกิจจำหน่ายผลิตภัณฑ์สิ่งทอจากชาวชาติพันธุ์ในจังหวัดแม่ฮ่องสอน โดยมีจุดเริ่มต้นมาจากที่เขาอยากส่งเสริมผ้าทอที่ยังคงสืบสานภูมิปัญญาดั้งเดิมของชุมชนปกาเกอะญอแห่งบ้านห้วยตองก๊อ ตำบลห้วยปูลิง (อำเภอเมือง) และชุมชนเลอเวือะแห่งบ้านป่าแป๋ ตำบลป่าแป๋ (อำเภอแม่สะเรียง) ซึ่งเขาพบข้อจำกัดในการผลิตเป็นสินค้า รวมถึงรูปแบบที่ไม่ได้เป็นที่นิยมของคนรุ่นใหม่ เช่น สีย้อมผ้าเป็นสีที่สกัดจากพืชพันธุ์ในป่า ซึ่งไม่ได้มีผลผลิตเพื่อนำมาทำสีได้ทุกฤดูกาล เขาและทีมงาน Doister จึงหาวิธีผสานเทคนิคสมัยใหม่ เพื่อยกระดับสินค้าให้มีความคงทน ยั่งยืน และสอดรับกับรสนิยมของคนในเมือง พร้อมทั้งเปิดตลาดให้กับสินค้าจากสองชุมชนเข้าถึงผู้คนในเมือง โดยยังคงรักษาภูมิปัญญาดั้งเดิมไว้ภาพถ่ายจาก https://www.facebook.com/doisterwannabe/?locale=th_TH ทั้งนี้ Doister หาได้เพียงแต่เข้ามาช่วยชุมชนในการพัฒนาสินค้าและการทำการตลาด แต่ยังรวมถึงการยกระดับทรัพยากรบุคคล ผ่านการสนับสนุนให้ชาวบ้านในชุมชนมีบทบาทเป็นพ่อครู-แม่ครู สอนการย้อมผ้า เพื่อสืบสานภูมิปัญญาให้คนรุ่นใหม่ รวมถึงการสื่อสารเรื่องราวออกไปในวงกว้างผ่านสื่อดิจิทัลและสิ่งพิมพ์ (หนังสือภาพ) เพื่อสร้างความตระหนักในคุณค่าของวิถีชีวิต ภูมิปัญญา และผลิตภัณฑ์ “ผมเป็นคนเจนเอ็กซ์ บางมุมมองก็อาจไม่ได้ตรงกับคนรุ่นใหม่นัก แต่ผมเชื่อว่าความต่อเนื่อง หรือ Consistency คือสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะกับงานสื่อสารและการเป็นตัวกลางของธุรกิจชุมชนที่ทำอยู่ ซึ่งต้องอาศัยการยืนระยะเพื่อสร้าง brand awareness ให้ผู้บริโภค “แน่นอน ในหลายธุรกิจ เราอาจเน้นการทำให้เร็ว ทำให้ไว แต่บางเรื่อง คุณอาจต้องอาศัยเวลาในการลองผิด ลองถูก เรียนรู้จากบทเรียนที่เราได้รับ เชื่อมั่นในสิ่งที่ทำ ขณะเดียวกันก็พร้อมปรับตัว หรือปรับใช้เทคโนโลยีใหม่ ๆ ไปพร้อมกัน” ปุ๊ กล่าวนอกจากนี้ ปุ๊ยังทิ้งท้ายว่า ถึงแม้การสร้างแบรนด์จากตัวตนของนักสร้างสรรค์เป็นเรื่องที่ดี แต่ขณะเดียวกัน การสร้างวัฒนธรรมองค์กร และการส่งต่อบทบาทสำคัญให้คนรุ่นใหม่ก็เป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม “จริงอยู่ที่ brand personal เป็นแม่เหล็กดึงดูดผู้บริโภค แต่ในทางกลับกัน เมื่อเวลาผ่านไป เราอาจไม่ได้ทันโลกไปเสียหมด แบรนด์จึงไม่ควรติดยึดกับตัวบุคคล แต่ต้องเชื่อมโยงกับความต้องการของยุคสมัย ผ่านภาพลักษณ์ที่ชัดเจนที่เราได้สร้างไว้ ผมคิดว่าสิ่งนี้เป็นอีกวิธีที่จะทำให้แบรนด์ของเรามีความยั่งยืนทางธุรกิจ”Co-Creative Workshop: Academic Program กิจกรรมพัฒนาและส่งเสริมวิชาชีพแรงงานอุตสาหกรรมสร้างสรรค์สำหรับนักศึกษาและผู้ประกอบการระยะเริ่มต้น ด้านการออกแบบ ความคิดสร้างสรรค์ เทคโนโลยี และความยั่งยืน กิจกรรมประกอบด้วยการเสวนาและเวิร์กช็อปการพัฒนาผลิตภัณฑ์และแบรนด์สินค้า ร่วมกันระหว่างนักเรียน – startups รุ่นใหม่ในเชียงใหม่ กับผู้ประกอบการสร้างสรรค์มากประสบการณ์ระดับประเทศ พร้อมทั้งการเสวนา (Talk Series: “Creative, Design, Technology, and Sustainable”) ที่ช่วยกระตุ้นมุมมองของเหล่านักสร้างสรรค์รุ่นใหม่ และเสริมความเข้าใจในด้านการประกอบธุรกิจ โดยผลลัพธ์ของกิจกรรมนี้ ทั้งในรูปแบบของผลิตภัณฑ์ การบริการ และโมเดลธุรกิจ จะถูกนำเสนอเป็นหนึ่งในนิทรรศการของเทศกาลงานออกแบบเชียงใหม่ 2567 (Chiang Mai Design Week 2024) ที่อาคาร TCDC เชียงใหม่
Basebox Theater และการค้นหาโอกาสใหม่ในพื้นที่การแสดงเชียงใหม่
เมื่อเดือนสิงหาคม – ต้นเดือนกันยายน 2567 ที่ผ่านมา โถงนิทรรศการบนชั้น 1 ของ TCDC เชียงใหม่ ถูกเนรมิตให้กลายเป็นโรงละครขนาด 100 ที่นั่ง ที่เปิดการแสดงโดยคณะละครศิลปินเพอร์ฟอร์แมนซ์ และศิลปินทัศนศิลป์ทั้งหมด 4 โชว์ (รวมทั้งสิ้น 13 รอบการแสดง) ฟังก์ชั่นของพื้นที่ที่หลายคนไม่คุ้นชินนี้ได้รับการรังสรรค์โดยกลุ่มนักการละครที่เกิดจากการรวมกันเฉพาะกิจในนาม Basebox Theater ซึ่งยังเป็นชื่อโปรเจกต์การแสดงในครั้งนี้ด้วย ไม่เพียงการเปลี่ยนโฉมชั่วคราวในครั้งนี้ จะทำให้คนเชียงใหม่มีโอกาสได้ชมโชว์สนุก ๆ ที่ครอบคลุมทั้งละครเวที ละครเพลง งานเฟอร์แมนซ์สื่อผสม และอื่น ๆ แต่โปรเจกต์นี้ยังชี้ชวนให้เราได้เห็นความเป็นไปได้ใหม่ ๆ ในการจัดเวทีการแสดง ซึ่งว่ากันตามตรง แม้เชียงใหม่จะครบพร้อมด้วยศิลปินการแสดงมากฝีมือในหลากสาขา และหลายคนก็มีชื่อเสียงบนเวทีระดับนานาชาติ หากเมือง… ไม่สิ หมายรวมถึงทั้งประเทศนี้ ก็กลับขาดพื้นที่ให้ศิลปินเหล่านั้นปล่อยของ และนั่นก็มีส่วนในการขวางกั้นโอกาสให้กับคนรุ่นใหม่ที่สนใจในศาสตร์ด้านนี้ลงอย่างน่าเสียดายเรามีโอกาสได้พูดคุยกับทีมงาน Baebox Theater ชัย-ชัยวัฒน์ โล่โชตินันท์ เก่ง-อภิชัย เทียนวิไลรัตน์ อ้อม-ศศิวิมล วงศ์จรินทร์ และ อ๊อด-สุธีระ ฟั่นแก้ว ถึงที่ไปที่มาของโครงการ และความคาดหวังในการขยายพื้นที่ให้ศิลปะการแสดงในเชียงใหม่ รวมถึงประเทศไทย ขับเคลื่อนแวดวงเพอร์ฟอร์แมนซ์ให้เข้าถึงผู้ชมได้ครอบคลุม สนุก และยั่งยืนกว่าที่เป็น จาก “เล่นใหญ่” สู่กล่องสี่เหลี่ยม“โปรเจกต์นี้มันเป็นผลสะท้อนจากที่ผมและพี่เก่ง (อภิชัย เทียนวิไลรัตน์) ได้ทำโชว์ ‘เล่นใหญ่’ ในงานเชียงใหม่ดีไซน์วีกที่ทำต่อเนื่องมา 2 ปี ซึ่งเราก็เห็นตรงกันกับผู้จัดเทศกาลอย่าง CEA ว่า ประเทศเราเนี่ย แม้จะมีทรัพยากรด้านศิลปะการแสดงที่หลากหลาย แต่กลับไม่มีพื้นที่ให้ศิลปินได้ทำการแสดงเท่าที่ควร และมันก็เป็นเหตุผลหนึ่งว่าทำไมวัฒนธรรมการดูโชว์ในบ้านเราถึงไม่ค่อยได้รับความนิยมนักด้วย” ชัย-ชัยวัฒน์ โล่โชตินันท์ กล่าวโปรเจกต์ ‘เล่นใหญ่’ ที่ชัยอ้างถึงคือ Len Yai : Performance Arts ที่เขาและเก่ง เปลี่ยนพื้นที่สาธารณะในย่านช้างม่อยและราชวงศ์จัดการแสดงเพอร์ฟอร์แมนซ์ขนาดสั้นตลอด 9 วันในเทศกาลงานออกแบบเชียงใหม่ (Chiang Mai Design Week) ให้เป็นเวทีการแสดงชั่วคราว เพิ่มเติมสีสันให้เทศกาลด้วย Flash Show จากศิลปินหลากรุ่นอย่างสร้างสรรค์ จาก ‘เล่นใหญ่’ เก่งและชัยจึงชวน CEA คิดต่อกันว่า ถ้าหากเกิดโมเดลของโรงละครเวทีขนาดเล็ก ซึ่งสามารถนำไปจัดวางตามพื้นที่ปิดต่าง ๆ ทั่วเมือง เช่น ห้องประชุมในโรงแรม ห้องอเนกประสงค์ในสำนักงาน ไปจนถึงห้องเรียนในสถาบันการศึกษา โมเดลนี้น่าจะจุดประกายให้ผู้คนเห็นถึงความเป็นไปได้ใหม่ ๆ ในการสร้างพื้นที่เพื่อการแสดงอีกมาก“พอ CEA เข้าใจข้อจำกัดที่แวดวงการแสดงในบ้านเราเผชิญอยู่ ก็เลยเห็นตรงกันว่า เรามาทำพื้นที่นำร่องด้วยกัน ผ่านการเปลี่ยนโถงแสดงนิทรรศการของ TCDC เชียงใหม่ที่เป็นห้องปิดอยู่แล้ว นั่นคือที่มาของโปรเจกต์ Basebox Theater ซึ่งก็ตั้งชื่อให้ล้อกับลักษณะของห้องที่เป็นกล่องสี่เหลี่ยมไปด้วย แล้วก็ทำโชว์ให้ผู้ที่สนใจจองเข้ามาชมโดยไม่คิดค่าใช้จ่ายใด ๆ” ชัย กล่าวรวมพลคนละครจากความตั้งใจให้โปรเจกต์นี้เป็นการจุดประกายให้ผู้คนเห็นถึงความเป็นไปได้ในพื้นที่ ทีมงานจึงมุ่งนำเสนอความหลากหลายของศิลปะการแสดง นั่นจึงนำมาสู่การคิวเรทโชว์ทั้ง 4 ที่มีรูปแบบแตกต่างกันอย่างน่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็นงานเพอร์ฟอร์แมนซ์สื่อผสม ‘ไปต่อไป’ โดยกลุ่ม LittleShelter Box ละครเพลง ‘จดหมายรักจากเมียเช่า’ โดยกลุ่ม Part Time Theater และงานนาฏศิลป์ร่วมสมัย ‘ทับซ้อนเวอร์ชั่นซ้อนทับ’ โดยกลุ่มละครมะขามป้อม รวมถึงงานเฟอร์ฟอร์แมนซ์กึ่งเวิร์กช็อป ‘สวมบทสวด’ ที่พวกเขาเชื้อเชิญศิลปินแขนงต่าง ๆ ในเชียงใหม่มาเข้าเวิร์กช็อปการแสดง และเปิดให้ผู้ชมเข้ามาสังเกตการณ์อย่างอิสระตลอด 5 ชั่วโมง ประหนึ่งงานเรียลลิตี้โชว์ “เราทำการแสดงทุกวันศุกร์ เสาร์ และอาทิตย์ ตั้งแต่ช่วงกลางเดือนสิงหาคมถึงต้นเดือนกันยายน แต่ละสัปดาห์ก็จะเปลี่ยนเรื่องกันไป โดยเลือกโชว์ที่ดูสนุกและเข้าใจง่ายเป็นหลัก เพื่อดึงดูดให้คนที่อาจไม่ได้ติดตามงานแขนงนี้มาก่อนได้เข้ามาร่วมสนุกด้วย” ชัย กล่าว“2 ใน 4 โชว์ที่ถูกเลือกมาจัดแสดง เป็นโชว์ที่ถูกสร้างขึ้นใหม่ (‘ไปต่อไป’ และ ‘สวมบทสวด’) ส่วนอีก 2 เรื่องที่ถูกทำไว้อยู่แล้ว เราก็มีการเสริมกิมมิกใหม่ ๆ ด้วยการชวนศิลปินนอกสาขาการละครมาพัฒนาตัวเรื่องไปด้วยกัน เราจึงมองว่านอกจากจะชี้ชวนให้คนดูเห็นโอกาสในพื้นที่ และได้สนุกกับโชว์ เราว่ามันยังเป็นการสร้างกระบวนการเรียนรู้ข้ามศาสตร์ให้กับคนทำงานศิลปะไปพร้อมกัน” อ้อม-ศศิวิมล วงศ์จรินทร์ กล่าวนอกจากรับหน้าที่ประสานงาน และดูแลด้านการประชาสัมพันธ์งานในโปรเจกต์ชั่วคราวนี้ อ้อมยังเป็นผู้ก่อตั้ง Studio 88 Artist Residency ซึ่งเป็นองค์กรที่เชื่อมศิลปินจากต่างประเทศให้มาพำนัก เรียนรู้ และพัฒนาผลงานในเชียงใหม่ ด้วยเหตุนี้ อ้อมจึงชวนโจนาธาน อาร์มัวร์ (Jonathan Armour) ศิลปินทัศนศิลป์และดิจิทัลชาวไอริชที่เคยมาร่วมโปรเจกต์ศิลปินพำนักกับอ้อม มาเป็นแขกรับเชิญ และประยุกต์ผลงานของเขาร่วมกับโชว์ต่าง ๆ ไปพร้อมกัน “ไม่เพียงแค่การแชร์ศิลปิน พื้นที่ซ้อมการแสดงในโชว์นี้ก็ยังเป็นการแชร์ข้ามโปรเจกต์ที่ลงตัวพอดี เพราะนอกจาก Studio 88 Artist Residency เราจะร่วมโปรเจกต์ Upper Floor อีกหนึ่งโครงการของ CEA ที่มีเป้าหมายในการจุดประกายการใช้พื้นที่ชั้น 2 ของอาคารพาณิชย์ในย่านช้างม่อย-ราชวงศ์ (อ้อมไปเปิดแกลเลอรี่แสดงผลงานบนชั้น 2 ของ The Goodcery – ผู้เขียน) โดยผู้เข้าร่วมโครงการของ Upper Floor อีกกลุ่มอย่าง Base Performing Arts ไม่เพียงจะทำโชว์มาแสดงใน Basebox Theater แต่พวกเขายังเปิดพื้นที่ให้กลุ่มนักแสดงจากโชว์อื่น ๆ ไปซ้อมพร้อมกัน นี่จึงเป็นการทำงานข้ามโปรเจกต์ที่เกื้อประโยชน์ซึ่งกันและกันของทั้งพื้นที่การแสดงและพื้นที่ซ้อมการแสดง ซึ่งทั้งสองพื้นที่ ไม่ได้ถูกออกแบบเพื่อกิจกรรมเหล่านี้มาตั้งแต่ต้น” อ้อม กล่าว จุดประกายละครโรงเล็กในส่วนของผลตอบรับของการแสดงทั้ง 4 โชว์ 13 รอบการแสดง (เริ่มต้นวันศุกร์ที่ 16 สิงหาคม และสิ้นสุดลงในวันอาทิตย์ที่ 8 กันยายน 2567) ทีมงานได้สะท้อนแง่มุมที่คาดไม่ถึงหลายเรื่องไว้อย่างน่าสนใจ ดังนี้“จริงอยู่มันเป็นโชว์สั้น ๆ ในเวลาที่จำกัด แต่ผมรู้สึกว่าโปร์เจกต์นี้หรือโมเดลการแสดงรูปแบบนี้มันสามารถถูกกระจายไปเซ็ทอัพยังพื้นที่อื่น ๆ ได้ ที่สำคัญคือ จากที่ศิลปินหลายคนติดภาพว่า TCDC เขามีพื้นที่สำหรับห้องสมุด และการจัดแสดงงานออกแบบแค่นั้น ทุกคนก็ได้เห็นมิติใหม่ ๆ ในการใช้พื้นที่ของที่นี่อย่างน่าสนใจ “ขณะเดียวกัน พอเรามาจัดการแสดงในพื้นที่แบบนี้ ก็มีส่วนทำให้ศิลปินการแสดงได้เข้าถึงกลุ่มผู้ชมกลุ่มใหม่ ๆ มากขึ้น ซึ่งในทางกลับกัน ด้วยผลตอบรับของผู้ชมที่เข้าชมเกือบเต็มทุกรอบ มันก็เป็นสัญญาณที่ดีว่า จริง ๆ ศิลปะประเภทนี้ มีคนสนใจค่อนข้างมาก แต่ที่ผ่านมา เขาไม่รู้จะติดตามยังไง หรือไปดูที่ไหนในเชียงใหม่” ชัย กล่าวในขณะที่อ้อมให้มุมมองที่น่าสนใจว่า นอกจากพื้นที่การจัดแสดง การมีคนตรงกลางที่เป็นตัวเชื่อมโยงการทำงานเข้าด้วยกันก็เป็นสิ่งสำคัญ หากอยากทำให้วัฒนธรรมการชมการแสดงในบ้านเรายั่งยืน“เรามองว่าหลาย ๆ พื้นที่ เขาก็อยากเปิดให้มีการแสดงแบบนี้อย่างต่อเนื่องแหละ เพียงแต่เจ้าของพื้นที่เหล่านั้นไม่รู้จะเริ่มยังไง จะเชื่อมกลุ่มคนทำงาน และผู้ชมเข้าถึงกันได้อย่างไร จริงอยู่ว่าโปรเจกต์นี้ เราได้รับการสนับสนุนจาก CEA แต่ผลของมันก็ทำให้เราเห็นว่าที่ผ่านมา วงการการแสดงบ้านเรามันขาดอะไรบ้าง เช่น เงินทุน พื้นที่ การเข้าถึงผู้ชม การประชาสัมพันธ์ และที่สำคัญคือคนกลางที่เป็นนักจัดการ เพราะมันไม่ใช่แค่โปรดักชั่น แต่มันคือการผลักดันให้ทุกฝ่ายหันหน้าเข้ามาทำงานร่วมกัน รวมถึงการสร้างบทสนทนาต่อยอดหลังการแสดง เพื่อค้นหาแนวคิดใหม่ ๆ ทั้งในเชิงศิลปะและการจัดการ” อ้อม กล่าวทั้งนี้ ภายในงาน อ้อมยังเก็บสถิติและความเห็นจากผู้ชม โดยทำสติ๊กเกอร์เรทราคาต่าง ๆ ให้ผู้ชมได้แปะไว้บนเก้าอี้ เพื่อจะได้ทราบว่าในความเป็นจริง ผู้ชมพร้อมจะจ่ายค่าบัตรเข้าชมการแสดงเท่าไหร่ “เราตั้งไว้ต่ำสุดที่ 200 บาท และสูงสุด 800 บาท เชื่อไหม ในหลายรอบการแสดงมีคนแปะสติ๊กเกอร์ราคา 800 บาทไม่น้อย และหลังดูจบ หลายคนก็บอกเราว่า ทำไมไม่มีเรท 1,000 หรือ 1,200 บาทด้วยล่ะ ซึ่งก็ทำให้เราเห็นว่า จริง ๆ มีผู้ชมทั้งคนไทย นักท่องเที่ยว และชาวต่างชาติที่พำนักอยู่ที่เชียงใหม่พร้อมจะจ่ายเงินเพื่อดูโชว์แบบนี้อยู่ไม่น้อย รวมถึงมีผู้ใหญ่หลายคนฟีดแบ็คว่าน่าจะมีโชว์สำหรับผู้ชมที่เป็นเด็ก ๆ ด้วย เพราะเขาก็อยากให้ลูกหลานมาร่วมกิจกรรมแบบนี้บ้าง นั่นทำให้เราเห็นโอกาสว่าถ้าจะมีโรงละครขนาดเล็กที่จัดการแสดงอย่างต่อเนื่อง มันก็อาจเป็นไปได้” อ้อม กล่าว ก่อนจากกันไป เราได้ตั้งคำถามกับทีมงานว่า แล้วเราจะได้เห็นโชว์แบบนี้เกิดขึ้นอีกไหม? “จริง ๆ ผมอยากให้มันมีเทศกาลประจำปีด้วยซ้ำ ผมคิดว่าโมเดลแบบนี้ต่อไปมันจะไม่ใช่เงื่อนไขเรื่องพื้นที่ แต่เป็นการหาสปอนเซอร์มาสนับสนุนให้การแสดงและกลุ่มละครต่าง ๆ สามารถทำงานต่อไป โดยไม่ต้องขอทุนจากองค์กรหรือต่างประเทศอย่างเดียว เพราะมันทำให้เห็นแล้วว่า ขอแค่มีพื้นที่ เราก็สามารถเซ็ทอัพเวที แสง สี เสียง และที่นั่งชมได้ โจทย์หลังจากนี้คือเราจะทำอย่างไรให้การแสดงมันรันไปได้อย่างยั่งยืน ซึ่งรวมถึงสร้างวัฒนธรรมการชมละครให้ชุมชนและผู้คนในเมือง แต่นั่นล่ะ ผมมั่นใจว่าถ้าเราเซ็ทระบบนิเวศเหล่านี้ขึ้นมาได้ เราจะได้เห็นศิลปินสาขาการแสดงเก่ง ๆ ในบ้านเราเกิดขึ้นอีกเยอะ” ชัย ทิ้งท้าย โปรเจกต์ ‘เล่นใหญ่’ Len Yai : Performance Arts กำลังจะกลับมาอีกครั้งในเทศกาลงานออกแบบเชียงใหม่ 2567 (Chiang Mai Design Week 2024) โดยปีนี้ นักสร้างสรรค์และคนทำงานศิลปะการแสดงทั้งจาก เชียงใหม่ และต่างประเทศ ได้รับการเชื้อเชิญให้เข้าร่วมสร้างสรรค์การแสดง เพื่อเฉลิมฉลองความเป็นเมืองแห่งเทศกาลและงานสร้างสรรค์ของเมืองเชียงใหม่ โดยมีการแสดงตลอด 8 วัน จัดแสดง ณ ตึกมัทนา ย่านช้างม่อย พื้นที่เป้าหมายการพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญและย่านเศรษฐกิจสร้างสรรค์จังหวัดเชียงใหม่
ก่อนจะเป็น "วานเกิด" เบื้องหลังหนังสั้นจาก Film Space x CEA Chiang Mai
‘วานเกิด’ คือภาพยนตร์สั้นขนาดยาว ความยาว 42 นาที บอกเล่าถึงชีวิตของแม่เลี้ยงเดี่ยวในเชียงใหม่ที่ต้องเผชิญกับมรสุมชีวิต และไม่อาจสลัดหลุดจากความห่วงหาอาวรณ์ต่อลูกที่เพิ่งจากไปได้ ก่อนจะมาพบว่าพิธีกรรมเก่าแก่ของล้านนาที่ชื่อว่า ‘วานเกิด’ อาจเป็นทางออกของปัญหาที่เธอเผชิญอยู่วานเกิด เป็นภาพยนตร์จากกลุ่ม Film Space ที่เกิดจากความร่วมมือระหว่าง CEA เชียงใหม่ คณะสารสนเทศและการสื่อสารมหาวิทยาลัยแม่โจ้ และมูลนิธิเพื่อนไร้พรมแดน (Friends Without Boarders Foundation) กำกับภาพยนตร์โดย เชวง ไชยวรรณ ผู้กำกับภาพยนตร์สั้นมือรางวัล เขียนบทโดย ณัฐธัญ กรุงศรี และอำนวยการผลิตโดย กริ่งกาญจน์ เจริญกุล รวมถึงได้ อาจารย์สนั่น ธรรมธิ นักเขียนและนักประวัติศาสตร์ล้านนาคนสำคัญ รับหน้าที่เป็นที่ปรึกษาบท และร่วมแสดงความพิเศษของภาพยนตร์เรื่องนี้ ไม่เพียงเป็นการแท็กทีมของเหล่ามือฉมังทั้งสายฟิล์ม สายวิชาการ และสายล้านนาคัลเจอร์อย่างพร้อมพรั่ง หากส่วนหนึ่งของทีมผู้ผลิตยังมาจากกลุ่มเยาวชนในเชียงใหม่ที่แทบไม่เคยเรียนการทำหนังมาก่อนเลยด้วยซ้ำ นอกจากจะเป็นหนังสั้นที่ถูกสร้างอย่างเอาจริงเอาจัง นี่ยังเป็นภาพยนตร์เรื่องแรกของน้อง ๆ เยาวชน กลุ่มนักเรียน และนักศึกษา (ที่ไม่ได้เรียนฟิล์มมาก่อน) ในเชียงใหม่ ที่มีใจริลองอยากทำหนัง และ CEA เชียงใหม่ ก็ช่วยสานฝัน ผ่านโครงการ Film Lab (กิจกรรมบ่มเพาะศักยภาพเยาวชนในภาคเหนือด้านการผลิตภาพยนตร์และวีดิทัศน์) ที่เปิดให้เยาวชนที่ผ่านการคัดเลือก 15 คน ได้มีโอกาสประกบกับทีมงานมืออาชีพ เพื่อผลิตภาพยนตร์เรื่องนี้ขึ้น เราได้คุยกับ ผศ.กริ่งกาญจน์ เจริญกุล รองคณบดีคณะสารสนเทศ และการสื่อสาร มหาวิทยาลัยแม่โจ้ โปรดิวเซอร์ของภาพยนตร์ และผู้ขับเคลื่อนโครงการ Film Lab ถึงเบื้องหลังก่อนจะมาเป็นภาพยนตร์เรื่องนี้ “โครงการ Film Lab เป็นโครงการที่เราทำต่อเนื่องมาเป็นปีที่ 2 ร่วมกับ CEA เชียงใหม่ โดยเปิดโอกาสให้เด็ก ๆ และเยาวชน ๆ ในภาคเหนือที่สนใจในอุตสาหกรรมการทำภาพยนตร์ ได้มาเรียนรู้กระบวนการทำหนังจากเหล่ามืออาชีพ โดยปีนี้ เราทดลองชวนน้อง ๆ มาร่วมทำหนังจริงกับพวกเราเลย จะได้เข้าใจในทุกขั้นตอนการผลิต” อาจารย์กริ่งกาญจน์ เล่าจากใบสมัครของน้อง ๆ เกือบ 100 คน ด้วยข้อจำกัดด้านบุคลากร โครงการจึงจำเป็นต้องคัดเลือกให้เหลือเยาวชนเพียง 15 คน โดยพิจารณาจากตำแหน่งในกองถ่ายที่น้อง ๆ สนใจอยากเรียนรู้ ทัศนคติ และความสะดวกในการร่วมออกกอง ก่อนที่ทีมงานจะชวนน้อง ๆ ที่ผ่านการคัดเลือกเข้าร่วมอบรมเชิงปฏิบัติการ และออกกองถ่ายทำจริงในช่วงเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาPhoto Credit: Film Space “มีน้อง ๆ มาร่วมถ่ายหนังกับเราจาก 9 สถาบัน เด็กสุดน่าจะเรียนอยู่ชั้น ม.5 ซึ่งน้องที่มาร่วมโครงการก็มีเกือบทุกตำแหน่งเลย ไม่ว่าจะเป็นผู้ช่วยผู้กำกับ ผู้ช่วยกล้อง คอนทินิว ไปจนถึงแผนกคอสตูม“เราดีใจนะที่เห็นพวกเขากระตือรือร้นที่ได้เรียนรู้และร่วมงานกับเรามาก เห็นได้ชัดคือ เราจะให้น้องออกกองแค่ 2 วันจากทั้งหมด 3 วัน และให้เลิกงานก่อนตอน 4 โมงเย็น แต่น้อง ๆ ส่วนใหญ่ไม่ยอมกลับบ้าน อยู่ช่วยงานกองต่อจนค่ำ และบางคนก็มาร่วมงานต่อวันที่ 3 ด้วย เราพบว่าพวกเขาไม่ใช่แค่อยากเรียนรู้ว่ากองถ่ายหนังเขาทำงานกันยังไง แต่เขาอยากร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการผลิตหนังเรื่องนี้ออกมาจริง ๆ” อาจารย์กริ่งกาญจน์ เล่าต่อ Photo Credit: Film Spaceเพื่อให้เห็นภาพ เราจึงชวนตัวแทนน้อง ๆ เยาวชนที่ร่วมโครงการคุยต่อถึงเรื่องนี้ เริ่มจาก ที-ธีรพงศ์ วังงอน นักศึกษาคณะศิลปกรรมและสถาปัตยกรรมศาสตร์ มทร.ล้านนา ที่รับตำแหน่งผู้ช่วยกล้อง “ผมสนใจในเรื่องการถ่ายวีดิโออยู่แล้ว แต่การได้มาออกกอง ทำให้ผมพบว่ามันไม่ใช่แค่การทำงานเชิงเทคนิค แต่เป็นการทำงานเป็นทีมที่ทุกคนต้องประสานหน้าที่กันให้ลงตัวที่สุด รวมถึงการทำงานภายใต้ความกดดัน เพราะการออกกองแต่ละครั้งมีเวลาจำกัด เราจึงต้องรู้จักรักษาเวลา และการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า นี่จึงเป็นประสบการณ์ใหม่ที่ผมได้เรียนรู้ และรู้สึกสนุกไปกับมัน” ที กล่าว เกรซ-ปรียาภรณ์ ชูเกียรติงาม นักเรียนจากโรงเรียนสันทรายวิทยาคม ซึ่งรับตำแหน่ง Continue หรือการดูแลความต่อเนื่องในกองถ่ายนี้ “หนูเพิ่งได้ทราบว่ากองถ่ายหนึ่งกองมันไม่ใช่แค่ผู้กำกับ หรือตากล้อง แต่ยังต้องอาศัยทีมงานหลากหลายมาก อย่างตำแหน่งคอนทินิวที่หนูรับผิดชอบ ก็มีความสำคัญในการทำให้การถ่ายทำมีความต่อเนื่อง และราบรื่น ซึ่งก็เป็นสิ่งสำคัญไม่น้อยกว่าตำแหน่งอื่น ๆ เหมือนกัน รู้สึกดีใจมาก ๆ ที่ได้เรียนรู้งานนี้ค่ะ” เกรซ เล่าเช่นเดียวกับ ข้าวจ้าว-ทิพย์วิมล สุวรรณคร ที่รับตำแหน่ง Costume and Make Up ดูแลเสื้อผ้า-หน้าผมให้เหล่านักแสดง “นอกจากได้เรียนรู้ว่ากองถ่ายหนึ่งกองต้องมีใครคอยทำอะไรบ้าง หนูยังได้เรียนรู้อีกว่าการถ่ายหนังมันคือการผสานองค์ประกอบของทุกอย่างตั้งแต่แสง บรรยากาศ การแสดง รวมถึงการแต่งหน้า และเครื่องแต่งกายของนักแสดงให้มันสอดคล้องกันไป ทุกสิ่งทุกอย่างมันสำคัญต่อการเล่าเรื่องหมด หนูดีใจที่ได้ร่วมเป็นหนึ่งในทีมงานนี้ และตั้งตารอตอนที่หนังเรื่องนี้ถูกฉายค่ะ” ข้าวจ้าว กล่าวทั้งนี้ อาจารย์กริ่งกาญจน์ ยังได้สะท้อนสิ่งที่เธอพบจากโครงการครั้งนี้อย่างน่าสนใจ “เวลาพูดถึงการทำหนัง เราจะพบว่าคนส่วนใหญ่จะให้ความสำคัญกับผู้กำกับ ช่างกล้อง หรือคนเขียนบท แต่จริง ๆ มันไม่ใช่แค่นั้น โครงการครั้งนี้จึงเป็นการเปิดให้น้อง ๆ เยาวชน ได้เรียนรู้ว่ากว่าจะออกมาเป็นหนังแต่ละเรื่อง ทีมงานทุกฝ่ายมีความสำคัญไม่แพ้กัน และน้อง ๆ สามารถต่อยอดสิ่งที่เรียนรู้ไปเป็นอาชีพจริง ๆ ได้ทั้งหมด เราไม่จำเป็นต้องเรียนฟิล์ม เพื่อจบออกมาเป็นผู้กำกับอย่างเดียว บ้านเรายังต้องการคนหาโลเคชั่น คนทำคอนทินิว หรือผู้ช่วยผู้กำกับที่เก่ง ๆ อีกมาก เราหวังว่านอกจากน้อง ๆ จะได้เรียนรู้การทำหนัง โครงการอาจช่วยจุดประกายความสนใจเฉพาะด้านของน้อง ๆ แต่ละคน รวมถึงความสำคัญ และความสนุกจากการได้ทำงานเป็นทีม” อาจารย์กริ่งกาญจน์ ทิ้งท้าย“วานเกิด” จะกลับมาฉายอีกครั้งในเทศกาลงานออกแบบเชียงใหม่ 2567 ณ ห้องออดิทอเรียม ชั้น 1 อาคาร TCDC เชียงใหม่ ในวันอาทิตย์ที่ 15 ธันวาคม 2567 ตั้งแต่เวลา 12.00 – 22.00 น. ฟรี! ไม่มีค่าใช้จ่าย
เมื่อศิลปินเชียงใหม่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจเมืองด้วยเสียงดนตรี
เมื่อศิลปินเชียงใหม่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจเมืองด้วยเสียงดนตรี: สนทนากับ ชา – สุพิชา เทศดรุณ Chiang Mai Originalตลอดเวลาหลายสิบปีที่แวดวงดนตรีอินดี้ในจังหวัดเชียงใหม่มีความเคลื่อนไหวเกิดขึ้นจำนวนมาก ส่วนใหญ่ๆ แล้วเกิดขึ้นมาจากการมีชายผมยาวคนนี้เป็นผู้อยู่เบื้องหลัง ชา-สุพิชา เทศดรุณ หรือที่หลายคนเรียกเขาว่า “ชา ฮาโม” เป็นสมญาที่มาจากชื่อวงเก่าของเขาอย่าง Harmonica Sunriseชา เป็นชายหนุ่มที่มีใจรักในเสียงเพลงจากจังหวัดนครสวรรค์ที่ย้ายเข้ามาเรียนคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยที่จังหวัดเชียงใหม่ เขาฟอร์มวงกับเพื่อน ๆ ผลิตผลงานเพลงของตนเองออกสู่สายตาผู้ฟังทั้งในนามวง Harmonica Sunrise วงคณะสุเทพการบันเทิง และผลงานเดี่ยวในนาม ChaHarmo นอกจากการสร้างผลงานของตนเอง ชายังคอยเป็นคนกลางประสานจัดงานดนตรีต่าง ๆ ภายในจังหวัด และล่าสุดกับการเคลื่อนไหวในนาม Chiang Mai Original ที่มีบทบาทเป็นหนึ่งในผู้สนับสนุนให้วงดนตรีในจังหวัดเชียงใหม่ที่ผลิตผลงานเพลงของตนเองได้มีโอกาสแสดงผลงานให้คนรู้จักการคลุกคลีอยู่ในแวดวงดนตรีมาเป็นเวลานาน และมีโอกาสได้เดินทางไปร่วมงานดนตรีในต่างประเทศ ทำให้ชาได้เห็นตัวอย่างว่า ที่ต่างประเทศเขาสามารถใช้ดนตรีเป็นหนึ่งในตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจของเมืองได้ และสิ่งที่เขาเห็นนี้กลายเป็นความฝันที่เขาตั้งใจว่าจะกลับมาทำกับแวดวงดนตรีในจังหวัดเชียงใหม่ โดยใช้ดนตรีนี่แหละเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของจังหวัดเชียงใหม่ กระทั่งเกิดเป็นงาน High HO Chiang Mai (ไฮโฮะ เชียงใหม่) ที่เขาและเพื่อน ๆ ตั้งใจจะใช้ดนตรีเป็นตัวกระตุ้นเศรษฐกิจของเชียงใหม่ในช่วงหน้าฝนที่เป็นช่วงโลว์ซีซั่นของจังหวัด โดยนำวงดนตรีเชียงใหม่กระจายไปเล่นตามสถานที่ต่าง ๆ ทั่วเมืองเชียงใหม่ เพื่อชักชวนให้คนได้มาเที่ยวเชียงใหม่และรับชมดนตรีไปในตัว โดยจัดขึ้นเป็นครั้งแรกในปีนี้ระหว่างวันที่ 15 กันยายน ถึง วันที่ 30 ตุลาคม 2567“ไอเดียการทำเทศกาล High Ho Chiang Mai จริง ๆ มันเริ่มต้นมาจากการที่เราเคยทํางานดนตรีเพื่ออย่างอื่นมาเยอะแล้ว คราวนี้เราอยากจะลองทําดนตรีเพื่อดนตรีดูบ้าง มันเป็นความคิดที่อยู่ในใจเรามานานแล้ว คือ ที่เชียงใหม่เรามีวงดนตรีเจ๋ง ๆ เยอะมากเลย แต่กว่าที่ผลงานของพวกเขาจะดังได้ปรากฏว่าวงพวกนี้ต้องไปอยู่ที่กรุงเทพฯ ตลอดเลยถึงจะมีโอกาส แต่เราก็จะเห็นว่า หลาย ๆ คนก็ยังอยากที่จะอยู่เชียงใหม่ ประกอบกับปัจจุบันเราเห็นว่ามีวงดนตรีเกิดขึ้นในเชียงใหม่จำนวนมากเลย งั้นเราจะทำยังไงได้บ้างถึงจะทำให้วงดนตรีเหล่านี้สามารถผลิตผลงานอยู่ที่เชียงใหม่ได้ เราก็เลยก่อตั้ง Chiang Mai Original ขึ้นมาChiang Mai Original ที่ชาก่อตั้งขึ้นมา ทำหน้าที่สนับสนุนให้ธุรกิจดนตรีในเชียงใหม่เกิดความเป็นยั่งยืน โดยเข้าไปสนับสนุนและช่วยนำเสนอผลงานของนักดนตรีในจังหวัดเชียงใหม่ที่ผลิตผลงานของตนเอง และทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการเข้าไปประสานงานให้เกิดงานที่เปิดเวทีให้ศิลปินที่ผลิตผลงานเพลงของตนเองได้มีที่ได้นำเสนอผลงานของพวกเขา เช่น งาน CHIANG MAI SECRET ของ One Nimman ที่จัดเป็นประจำช่วงปลายปี ที่ชาเข้าไปมีส่วนร่วมในการจัดแสดงดนตรีเปิดเวทีให้ศิลปินเชียงใหม่ได้นำเสนอผลงานตนเองภายในงาน, เทศกาลดนตรี Chiangmai Ho! Fest. ที่ Chiang Mai Original รวบรวมวงดนตรีจำนวนมากจากเชียงใหม่มาแสดง ซึ่งจัดขึ้นมา 4 ปีแล้ว นอกจากนั้นชายังมีโอกาสได้ไปร่วมแข่งขันในงานเทศกาลดนตรีเปิดหมวกโลก 2024 GWANGJU BUSKING WORLDCUP FESTIVAL ที่ทางเมืองกวางจูประเทศเกาหลีใต้ จัดขึ้นเพื่อใช้ดนตรีเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจและภาพลักษณ์ของเมืองเขาทั้งนี้ การได้ไปร่วมและเห็นประโยชน์ของงานเทศกาลเปิดหมวกนี้ทำให้เมื่อกลับมาเชียงใหม่ ชาได้ร่วมมือกับทำทาง CEA Chiangmai (Creative Economy Agency) จัดงาน Chiang Mai Busking หรือ ‘เทศกาลเชียงใหม่เปิดหมวก’ ที่พานักดนตรีกระจายไปเล่นตามสถานที่ในย่านต่างๆ ของเมืองเชียงใหม่ นอกจากให้นักดนตรีได้มีที่แสดงผลงานแล้วยังเป็นการเชิญชวนให้ผู้คนได้มีโอกาสไปเที่ยวในย่านต่าง ๆ เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจของเมืองเชียงใหม่ เป็นต้นนอกจากการจัดงานต่าง ๆ ไม่นานมานี้ชากับกลุ่มพี่น้องนักดนตรียังได้รวมตัวกันเป็น เครือข่ายคนดนตรีเชียงใหม่ ขึ้นมา โดยเป็นการประชุมหารือร่วมกันกับทุก ๆ ฝ่ายที่มีส่วนเกี่ยวข้องในแวดวงดนตรีเชียงใหม่ โดยประชุมกันในวาระต่าง ๆ ของแต่ละเดือนเพื่อนำข้อมูลจากทุกฝ่ายมาดูว่า อุตสาหกรรมดนตรีเชียงใหม่ตอนนี้แต่ละฝ่ายกำลังเจอปัญหาอะไร และจะสามารถร่วมกันผลักดันดนตรีเชียงใหม่ให้ดีขึ้นต่อไปได้อย่างไร ทั้งความเป็นอยู่ของศิลปิน คุณภาพงานของศิลปิน สถานที่จัดแสดงต่าง ๆ และเมื่อคนดนตรีเชียงใหม่แข็งแรงแล้ว ก็จะนำไปสู่การใช้ดนตรีช่วยขับเคลื่อนเมืองเชียงใหม่ต่อไปได้การเกิดขึ้นของ เครือข่ายคนดนตรีเชียงใหม่ นี้ทำให้เกิดการเก็บรวบรวมข้อมูลที่สำคัญเกี่ยวกับแวดวงดนตรีในจังหวัดเชียงใหม่ และมีการจัดทำฐานข้อมูลศิลปินในจังหวัดเชียงใหม่ที่แต่ละวงสามารถเข้าไปลงทะเบียนและฝั่งผู้จัดสามารถเข้าไปดูข้อมูลของศิลปินได้ผ่านทางเว็บไซต์ของ Chiang Mai Original“ในช่วงหน้าฝนที่ผ่านมา เครือข่ายฯ มีการประชุมหารือกันว่า ในช่วงหน้าฝนที่เป็นโลว์ซีซั่นของเชียงใหม่นั้น เราพบว่าเศรษฐกิจของเมืองเชียงใหม่มันซบเซา คนมาเที่ยวใช้จ่ายกันน้อย ซึ่งมันก็ส่งผลกระทบต่อตัวแวดวงดนตรีโดยตรงด้วย และช่วงฤดูฝนก็มักจะไม่ค่อยมีงานเทศกาลอะไรจัดให้นักดนตรีได้ไปเล่น ทุกคนก็ขาดรายได้ เราก็เลยคิดร่วมกันขึ้นมาว่า น่าจะลองใช้เทศกาลดนตรีเป็นตัวกระตุ้นชวนคนให้มาเที่ยวเชียงใหม่กันในฤดูกาลนี้ดูนะ ก็เลยตั้งชื่องานนี้ว่า High Ho Chiang Mai“โดยตลอดระยะเวลาหนึ่งเดือนของ High Ho Chiang Mai จะมีงานดนตรีกระจายกันไปจัดแสดงตามสถานที่ต่างๆ ในเมืองเชียงใหม่ เพื่อใช้ดนตรีเป็นแสงช่วยส่องให้ผู้คนได้ลองไปเที่ยวในสถานที่ต่างๆ ในเมืองเชียงใหม่ เพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของเมือง ขณะเดียวกันนักดนตรีเชียงใหม่ก็จะได้มีงานเล่นกันในช่วงหน้าฝนนี้ด้วย“เราว่าดนตรีเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมเมืองเชียงใหม่นะ และเชียงใหม่เองก็มีชื่อเสียงจากวงดนตรีจำนวนมากที่เกิดขึ้นในจังหวัดตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน เราว่ามันเป็นจุดขายหนึ่งของจังหวัดได้เลย ถ้าเราช่วยกันทำให้ดนตรีเชียงใหม่แข็งแรง คนเชียงใหม่เป็นผู้จัดงานเทศกาลดนตรีต่าง ๆ กันเอง เราเชื่อว่าดนตรีจะช่วยดึงดูดให้คนมาที่เชียงใหม่ได้ ซึ่งเราเห็นตัวอย่างกันมาแล้วมากมายจากต่างประเทศ และเราเชื่อว่าเชียงใหม่เองมีความเป็นไปได้ เราฝันอยากจะเห็นภาพนั้นกับที่นี่” ชา กล่าวสำหรับผู้ที่สนใจติดตามข่าวสารของ Chiang Mai Original สามารถติดตามได้ที่เพจ Chiang Mai Original (https://www.facebook.com/cnx.og.live) หรือ https://chiangmaioriginal.com/ และสำหรับคนที่สนใจอยากมาร่วมเทศกาลดนตรี High Ho Chiang Mai ในช่วงหน้าฝนสามารถติดตามรายละเอียดได้ทาง https://linktr.ee/highhofest
งานสัมมนาผู้ร่วมจัดงานเทศกาลงานออกแบบเชียงใหม่ 2567
งานสัมมนาผู้ร่วมจัดงาน (Exhibitors seminar) เทศกาลงานออกแบบเชียงใหม่ 2567 สร้างแรงบันดาลใจให้นักออกแบบเมื่อวันที่ 28 กันยายนที่ผ่านมา สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน) เชียงใหม่ จัดงานสัมมนาสุดพิเศษสำหรับผู้ร่วมจัดแสดงในเทศกาลงานออกแบบเชียงใหม่ 2567 ภายในงานเต็มไปด้วยกิจกรรมที่น่าสนใจ อาทิ การบรรยายพิเศษในหัวข้อ “ปลดล็อคพลังสร้างสรรค์: รู้ลึกกฎหมายสำหรับนักออกแบบ โดย ทีม EasyLaw” ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อนักออกแบบที่ต้องการพัฒนาผลงานของตนให้เป็นที่ยอมรับในระดับสากล นอกจากนี้ ยังมีบรรยายพิเศษในหัวข้อ “Exhibition Tips and Tricks โดย คุณอมรเทพ คัชชานนท์ ผู้ก่อตั้งแบรนด์ A.M.O Intergroup” ที่จะช่วยให้นักออกแบบทุกคนสามารถนำเสนอผลงานของตนได้อย่างโดดเด่นและน่าสนใจเทศกาลงานออกแบบเชียงใหม่ 2567: ฉลองพลังสร้างสรรค์ของท้องถิ่นเตรียมพบกับเทศกาลงานออกแบบเชียงใหม่ 2567 ภายใต้แนวคิด “SCALING LOCAL: Creativity, Technology and Sustainability” ซึ่งจะจัดขึ้นในวันที่ 7-15 ธันวาคม 2567 ณ อาคาร TCDC เชียงใหม่ และพื้นที่ต่างๆ ทั่วเมืองเชียงใหม่ มาร่วมสัมผัสประสบการณ์สุดพิเศษกับผลงานสร้างสรรค์จากนักออกแบบ นักศิลปะ และชุมชนท้องถิ่น พบกับกิจกรรมที่หลากหลาย อาทิ นิทรรศการ งานเวิร์กช็อป การแสดง ดนตรี ศิลปะ ตลาด POP Marketติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม:เว็บไซต์: https://www.chiangmaidesignweek.comเฟซบุ๊ก: Chiang Mai Design Week#ChiangMaiDesignWeek2024 #CMDW2024 #ScalingLocal