เทศกาลงานออกแบบเชียงใหม่ 2024, 7 –15 DEC

อัพเดทและเที่ยวชมงาน

นักสร้างสรรค์คืนถิ่น (ตอนที่ 2)

Homecoming Creators (ตอนที่ 2)ทำความรู้จัก 6 นักสร้างสรรค์คืนถิ่น ผสานความเก่า-ใหม่ เปลี่ยนท้องถิ่นให้ทรงพลัง ในเทศกาลงานออกแบบเชียงใหม่อัจฉริยา โรจนภิรมย์Kalm Village’s Showcasesอัจฉริยา โรจนภิรมย์ คือหนึ่งในผู้ก่อตั้ง Kalm Village หมู่บ้านศิลปหัตถกรรมและงานออกแบบร่วมสมัยใจกลางย่านเมืองเก่าเชียงใหม่ พื้นที่อันเป็นส่วนผสมระหว่างพิพิธภัณฑ์ แกลเลอรี่ศิลปะ คาเฟ่ และจุดเช็คอินท่ามกลางงานออกแบบและสถาปัตยกรรมสวยเก๋แห่งนี้ ได้ร่วมกับ CMDW ในปีที่ผ่านมา ในการจัดโชว์เคส 2 งาน ได้แก่ สีสันกับชีวิต: นิทรรศการเฟอร์นิเจอร์ โดย สุวรรณ คงขุนเทียน นำเสนอความเป็นไปได้ใหม่ๆ ของการสร้างสรรค์และตบแต่งเก้าอี้ให้เต็มเปี่ยมไปด้วยแง่มุมทางหัตถศิลป์ที่หลากหลาย และนิทรรศการ Adat & Alam: Weaving the Ancestral Pathway นิทรรศการที่ Kalm Village ร่วมกับ Gerimis Art นำเสนอผลงานสร้างสรรค์ของช่างฝีมือจากมาเลเซีย นอกจากนี้ Kalm Village ยังมีเวิร์กช็อปสนุกๆ อีกหลากหลาย ครอบคลุมตั้งแต่งานออกแบบ งานหัตถกรรม และกาแฟ ซึ่งจัดขึ้นตลอดช่วงเทศกาล “ปีนี้ (CMDW2023) เป็นปีที่สองที่ทางคาล์มวิลเลจจัดงานพร้อมกับเทศกาลงานออกแบบเชียงใหม่ โดยมี 2 นิทรรศการหลัก พร้อมกับกิจกรรม talk และ workshop ที่บอกเล่าเรื่องราวทั้งในมุมมองร่วมสมัยและพื้นถิ่น ทั้งในภาคเหนือ และต่างประเทศ ซึ่งเราได้รับเกียรติจากศิลปินมาเลเซียมาร่วมแลกเปลี่ยนมุมมองและผลงาน เราหวังว่านักสร้างสรรค์รุ่นใหม่จะเห็นคุณค่าและแรงบันดาลใจใกล้ตัวในบ้านและเรื่องราวของตนเอง รวมถึงมุมมองจากวัฒนธรรมที่แตกต่าง ซึ่งมีจุดเชื่อมโยงคุณค่าที่น่าสนใจ และสามารถนำมาประยุกต์ใช้กับการสร้างสรรค์ในแบบฉบับของตัวเอง ทั้งในแง่มุมของความคิดที่หลากหลาย และการผสานความเก่า-ใหม่อย่างลงตัว ท่ามกลางยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไป” อัจฉริยา กล่าว ทำความรู้จัก Kalm Village เพิ่มเติมได้ทาง https://www.kalmvillage.com/     สุพิชา เทศดรุณกิจกรรมดนตรีเปิดหมวก Chiang Mai Busking สุพิชา เทศดรุณ คือศิลปินหัวหน้าวง Suthep Band วงดนตรีจากเชียงใหม่ที่ผสานความเป็นพื้นเมืองภาคเหนือ เข้ากับดนตรีแบบลูกกรุง ลูกทุ่ง และป๊อบ-ร็อคร่วมสมัยอย่างสนุกสนาน นอกจากบทบาทของนักดนตรี เขายังเป็นผู้ก่อตั้ง Chiang Mai Original ซึ่งเป็นทั้งบาร์ดนตรีสด และกลุ่มความร่วมมือที่ขับเคลื่อนแวดวงดนตรีของคนเชียงใหม่ให้มีที่ทางในพื้นที่สาธารณะ ไปพร้อมกับสร้างความยั่งยืนทางเศรษฐกิจของนักดนตรี โดยในเทศกาลฯ นี้ สุพิชาในฐานะกลุ่ม Chiang Mai Original ได้จัดกิจกรรมดนตรีเปิดหมวก Chiang Mai Busking คัดสรรศิลปินท้องถิ่นและศิลปินรับเชิญจากต่างจังหวัดกว่า 30 วง มาทำการแสดงในพื้นที่จัดงานหลักทั้ง 4 พื้นที่ ซึ่งกิจกรรมนี้ยังเป็นหนึ่งในความพยายามของสุพิชาที่จะโปรโมทผลงานเพลงของนักดนตรีท้องถิ่น ไปพร้อมกับใช้เสียงดนตรีสร้างสีสันและความสนุกในพื้นที่สาธารณะ เสริมเสน่ห์ร่วมสมัยให้กับเมืองทั้งเมือง“ปีที่แล้ว ผมมีโอกาสไปร่วมงาน Busking World Cup in Gwangju ซึ่งเป็นเทศกาลที่เปิดออดิชั่นนักดนตรีเปิดหมวกจากทั่วโลก มาจัดแสดงผลงานตามในเมืองกวางจู ประเทศเกาหลี เทศกาลนี้ได้รับการสนับสนุนเงินทุนจากภาครัฐ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายให้กับนักดนตรีที่ผ่านคัดเลือกจากทั่วโลกให้มาใช้ชีวิต ท่องเที่ยว และเล่นดนตรีเปิดหมวกตามที่ต่างๆ ในเมืองกวางจู เป็นการสร้างเสน่ห์ให้กับเมือง และก็ได้ประชาสัมพันธ์เมืองผ่านโซเชียลมีเดียของนักดนตรีด้วย“ในขณะเดียวกัน ความที่ผมมีความคิดที่อยากโปรโมทวงดนตรีเชียงใหม่ที่มีผลงานเพลงของพวกเขาเองอยู่แล้ว ก็เลยนำโมเดลนี้มาเสนอกับ TCDC เชียงใหม่ จนเกิดเป็นโปรเจกต์ Chiang Mai Busking ในงานดีไซน์วีคปี 2023“ผมมองว่าการแสดงดนตรีสดในพื้นที่สาธารณะ ถ้ามันถูกที่และถูกเวลา มันจะช่วยขับกล่อมและสร้างบรรยากาศที่ดีให้กับเมืองได้ แบบเดียวกับที่ในลอนดอน ประเทศอังกฤษ ที่มีนักดนตรีเปิดหมวกเก่งๆ มาเล่นมากมาย และภาครัฐก็สนับสนุนให้เกิดกิจกรรมแบบนี้อย่างเต็มที่ เชียงใหม่เรามีพื้นที่สาธารณะที่เป็นแลนด์มาร์คมากมาย การมีวงดนตรีที่เป็นลูกหลานคนเชียงใหม่และภาคเหนือไปเล่นเนี่ย มันช่วยเสริมบรรยากาศน่าอยู่ความเป็นครีเอทีฟซิตี้ให้กับเมืองของเรา ทั้งยังส่งเสริมพื้นที่สร้างรายได้ให้กับคนท้องถิ่น และเอื้อให้เกิดการใช้พื้นที่สาธารณะอย่างสร้างสรรค์ “ขณะเดียวกัน ผมอยากเปลี่ยนภาพจำของคนส่วนใหญ่เกี่ยวกับนักดนตรีเปิดหมวก ว่าพวกเขาไม่ใช่คนเร่ร่อน หรือคนไร้ฝีมือที่ไม่สามารถไปเล่นดนตรีตามสถานบันเทิงหรือออกอัลบั้มได้ แต่เป็นศิลปินอาชีพจริงๆ ที่รักในความอิสระ รวมถึงสามารถเลี้ยงชีพได้จากความคิดสร้างสรรค์ และเสียงเพลง” สุพิชา กล่าวทำความรู้จัก Chiang Mai Original เพิ่มเติมได้ทาง https://www.facebook.com/chiangmaioriginal/?locale=th_TH อภิชัย เทียนวิไลรัตน์การแสดง Len Yai: Performance Arts อภิชัย เทียนวิไลรัตน์ คือเจ้าของ Little Shelter บูติกโฮเทลสุดฮิปที่นำแรงบันดาลใจจากศิลปวัฒนธรรมล้านนามาออกแบบ จนคว้ารางวัลทางสถาปัตยกรรมระดับโลกมาแล้วมากมาย ทั้งนี้ Little Shelter ยังทำหน้าที่เป็นครีเอทีฟแพลตฟอร์มสุดเก๋ ผ่านการจัดสรรพื้นที่ส่วนหนึ่งของโรงแรมเป็นแกลเลอรี่ศิลปะร่วมสมัย ร้านจำหน่ายงานออกแบบของดีไซน์เนอร์ท้องถิ่น และการจัดกิจกรรมที่ชักชวนนักสร้างสรรค์ทั้งท้องถิ่นและต่างชาติมาผลิตผลงานสุดล้ำในพื้นที่ อาทิ การแสดงละครเวที ดนตรี เพอร์ฟอร์แมนซ์อาร์ท ไปจนถึงการจัดปาร์ตี้ และทำอาหาร ฯลฯ ในเทศกาลฯ ครั้งนี้ อภิชัย ได้ร่วมกับ ชัยวัฒน์ โล่โชตินันท์ จัดงาน Len Yai: Performance Arts ชักชวนศิลปินการแสดงทั้งไทยและต่างชาติกว่า 40 ชีวิต มาร่วมจัดการแสดงสตรีทเพอร์ฟอร์แมนซ์ที่สอดรับไปกับบริบทของพื้นที่ 8 แห่งในย่านช้างม่อยและท่าแพ ตลอด 9 วันของการจัดงาน CMDW2023“พื้นเพผมเป็นคนจังหวัดลำปาง ทำงานด้านวิศวกรและที่ปรึกษาด้านการก่อสร้างและบริหารอสังหาริมทรัพย์ที่กรุงเทพฯ จนมีอยู่ช่วงหนึ่ง ผมมีเหตุให้ต้องกลับมาดูแลครอบครัวที่บ้าน เลยตัดสินใจกลับมาทำธุรกิจโรงแรมที่เชียงใหม่ อย่างไรก็ดี ด้วยความที่ผมสนใจเกี่ยวกับศิลปวัฒนธรรมทั้งแบบดั้งเดิมและร่วมสมัยอยู่แล้ว ก็เลยคิดว่าถ้าจะทำโรงแรมก็น่าจะทำให้มันสอดรับกับความสนใจ และมีส่วนในการขับเคลื่อนระบบนิเวศเชิงสร้างสรรค์ของเมืองได้ จึงทำ Little Shelter ที่มีพื้นที่รองรับการจัดกิจกรรมต่างๆ ไปพร้อมกัน“ผมสนใจเชียงใหม่ในฐานะเมืองแห่งความหลากหลาย เรามีต้นทุนของการเป็นศูนย์กลางทางวัฒนธรรมล้านนา ขณะเดียวกัน ด้วยบริบทร่วมสมัย เราก็ดึงดูดผู้คนมากมายจากทั่วโลกให้มาท่องเที่ยวหรือพักอาศัย จนเกิดเป็นเมืองนานาชาติ และเพราะลักษณะพิเศษแบบนี้ เมืองจึงเต็มไปด้วยนักสร้างสรรค์หลายแขนง ทั้งทางด้านทัศนศิลป์ นักดนตรี หรือศิลปะการแสดง “Len Yai: Performance Arts เป็นโปรเจกต์ที่ผมร่วมกับพี่ชัย (ชัยวัฒน์ โล่โชตินันท์) สำรวจพื้นที่ต่างๆ ในย่านช้างม่อยและท่าแพ พื้นที่ที่หลายคนอาจมองข้ามหรืออาจยังไม่รู้จัก และเปลี่ยนมันให้กลายเป็นเวทีการแสดงชั่วคราว เพื่อชักชวนให้ผู้คนมองเห็นถึงความเป็นไปได้ใหม่ๆ หรือโอกาสใหม่ๆ ของย่าน “และอย่างที่บอก เชียงใหม่เราเต็มไปด้วยนักสร้างสรรค์หลากรุ่นและหลากหลายแขนง ถ้าเรามีพื้นที่และแรงสนับสนุนให้พวกเขาเหล่านี้อย่างต่อเนื่องและจริงจัง พลังสร้างสรรค์จากพวกเขาจะแปรเปลี่ยนไปสู่เสน่ห์ทางการท่องเที่ยวของเมือง ไปจนถึงแรงขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจอย่างเป็นรูปธรรม” อภิชัย กล่าวทำความรู้จัก Little Shelter เพิ่มเติมได้ทาง https://littleshelterhotel.com/

สำรวจแนวคิด Chiang Mai Design Week 2024 ผ่านมุมมองของ 4 นักสร้างสรรค์ชั้นนำ

SCALING LOCAL: Creativity, Technology, Sustainability คือแนวคิดหลักในเทศกาลงานออกแบบเชียงใหม่ 2567 (Chiang Mai Design Week 2024) ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 7 – 15 ธันวาคม 2567 นี้ เทศกาลที่ชวนทุกคนมาร่วมกันสำรวจศักยภาพของท้องถิ่นในภาคเหนือที่เรามี ก่อนจะหาวิธีต่อยอดความคิดสร้างสรรค์ (Creativity) เข้ากับเทคโนโลยี (Technology) เพื่อทำให้ระบบนิเวศสร้างสรรค์ในบ้านเรามีความยั่งยืน (Sustainability) พร้อมให้ผลงานจากผู้คนในท้องถิ่นเข้าถึงโอกาสในการเฉิดฉายบนเวทีโลกทั้งนี้ CMDW มีโอกาสพูดคุยกับเหล่าคณะกรรมการคัดเลือกผลงานทั้ง 4 ท่าน ซึ่งล้วนเป็นนักออกแบบและผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ชั้นนำของเมืองไทย ไปดูมุมมองของพวกเขาเกี่ยวกับแนวคิด SCALING LOCAL ทิศทางของอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ในภาคเหนือ และภาพรวมในผลงานที่มาร่วมแสดงในเทศกาลปีนี้ไปพร้อมกันงานสร้างสรรค์ไม่ใช่แค่เรื่องของนักออกแบบและเทคโนโลยีก็ไม่ใช่แค่คนในแวดวง ITวิสุทธิ์ ลิ้มอารีย์ผู้ก่อตั้ง Asiatides Paris และเจ้าของ Wit’s Collection“ในฐานะที่ผมทำ Asiatides ที่เป็นตัวกลางสรรหาสินค้าออกแบบระหว่างผู้ผลิตและผู้ซื้อในเอเชียและยุโรปมาหลายสิบปี ผมตระหนักดีว่างานออกแบบของนักสร้างสรรค์ในภาคเหนือเรามีความประณีตและงดงามมาก รวมถึงงานของคนรุ่นใหม่ ๆ ในช่วงหลัง อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญคืองานหลายชิ้นอาจจะยังไปไม่ถึงผู้ซื้อ ซึ่งอาจด้วยกระบวนการผลิตที่ค่อนข้างทำได้จำกัด การตลาด หรือขาดตัวกลางที่คอยเชื่อมโยงสินค้าถึงผู้ซื้อ แต่นั่นล่ะ เพราะมันไม่ใช่แค่ความคิดสร้างสรรค์ในการผลิต สิ่งสำคัญไม่แพ้กันคือ เราจะขายผลงานของเราออกไปในวงกว้างยังไง …“ในส่วนของภาพรวมของผู้เข้าร่วมเทศกาลปีนี้ ผมคิดว่าเราได้เสียงตอบรับที่ดีจากผู้ประกอบการรุ่นใหม่ แต่จะดีมาก ๆ ถ้าสถาบันการศึกษาส่งเสริมให้นักศึกษาในระดับมหาวิทยาลัยส่งผลงานมาร่วมแสดงมากกว่านี้ ซึ่งไม่ใช่แค่การทำบอร์ดโครงงาน แต่เป็นการนำไอเดียมาผลิตเป็นผลงานตัวอย่างจริง ๆ ให้ชม สิ่งนี้มันช่วยจุดประกายให้เด็ก ๆ ที่มาดูงานได้เยอะ เพราะเอาเข้าจริง ในเทศกาลฯ เรามีโปรแกรมพวกโชว์เคสของมืออาชีพ เวิร์กช็อป หรือ Business Matching ที่พอสนับสนุนผู้คนในอุตสาหกรรมอยู่แล้ว แต่ถ้าเรามีพื้นที่แสดงผลงานจากสถาบันการศึกษาเพิ่มขึ้นมามากกว่านี้ เทศกาลฯ จะดึงดูดให้คนรุ่นใหม่ที่อาจไม่ใช่เฉพาะแค่นักศึกษาในภาควิชาออกแบบให้มาสนใจได้ …“ผมว่าหลายคนยังติดภาพว่าเทศกาลออกแบบมันเป็นเรื่องของคนในแวดวงงานออกแบบหรือศิลปะ ขณะที่ดีไซน์วีกในต่างประเทศ เราจะเห็นคนที่มาร่วมแสดงงานมาจากสายวิชาชีพอื่นที่ไม่ใช่นักออกแบบไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นวิศวกร โปรแกรมเมอร์ หรือคอนเทนต์ครีเอเตอร์ และอื่น ๆ จริงอยู่ที่ชื่อมันคือ Design Week แต่ Design ในที่นี้มันไม่ใช่แค่ Designer แต่เป็นการดีไซน์อะไรก็ตาม ที่มันช่วยให้เราสามารถทำให้เราใช้ชีวิตได้ง่ายขึ้น มีสุนทรียะขึ้น ไปจนถึงช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตเราได้ เพราะงานสร้างสรรค์มันไม่ใช่แค่เรื่องของนักออกแบบ เช่นเดียวกับเทคโนโลยีที่เป็นแนวคิดของเทศกาลในปีนี้ มันก็ไม่ใช่แค่เรื่องของคนในแวดวง IT แต่มันหมายถึงสิ่งที่แวดล้อมวิถีชีวิตของเราทุกคน”งานคราฟต์ + เทคโนโลยี = ความยั่งยืนทางเศรษฐกิจอมรเทพ คัชชานนท์ผู้ก่อตั้ง AmoArte และที่ปรึกษา The Design & Objects Association (D&O)“เท่าที่ดูภาพรวมของผู้เข้าร่วมเทศกาลปีนี้ ผมเห็นว่าทิศทางของงานสร้างสรรค์ที่เน้นการใช้ทรัพยากรหมุนเวียน รวมถึงการอธิบายที่มาที่ไปของการใช้วัสดุซึ่งสอดคล้องกับความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อมเป็นสิ่งที่น่าสนใจมาก ๆ อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณาจากธีมของเทศกาลปีนี้ ประเด็นด้านเทคโนโลยีอาจยังไม่ค่อยเด่นชัดเท่าใดนัก อาจจะเพราะงานสร้างสรรค์ส่วนใหญ่ในภาคเหนือจะเป็นงานคราฟต์ นักออกแบบเลยไม่ได้คำนึงถึงเรื่องนี้เท่าใดนัก …“อย่างไรก็ตาม ผมมองว่า ถ้าเรานำมิติด้านเทคโนโลยีมาปรับใช้ อาจไม่ต้องถึงกับเทคโนโลยีขั้นสูงหรือจักรกลโรงงานอะไร แค่เป็นเครื่องมือหรืออุปกรณ์ที่เข้ามาช่วยหนุนเสริมกระบวนการผลิตในบางขั้นตอน ผมว่าสิ่งนี้มันช่วยยกระดับงานคราฟต์ที่มีได้มากเลยนะ ที่พูดแบบนี้ต้องออกตัวว่า ผมไม่ได้ปฏิเสธการผลิตผลงานด้วยมือในทุกกระบวนการแบบ 100% นะ นี่คือเสน่ห์ของงานสร้างสรรค์ในเชียงใหม่และภาคเหนืออย่างไม่อาจปฏิเสธอยู่แล้ว แต่ถ้าคุณมองถึงแง่มุมความยั่งยืนด้านอาชีพหรือเศรษฐกิจ ผมว่าการเปิดรับเทคโนโลยีให้มาช่วยด้วยเป็นเรื่องจำเป็น”นวัตกรรมสร้างตัวตนปิยนันท์ มหานุภาพที่ปรึกษาสมาคมผู้ผลิตและส่งออกสินค้าหัตถกรรมภาคเหนือ (NOHMEX)“หลายปีหลังมานี้งานออกแบบที่พึ่งพาเทคโนโลยีอย่างเครื่องพิมพ์สามมิติ หรืองานสร้างสรรค์แนวมัลติมีเดียได้รับความนิยมในท้องถิ่นมากยิ่งขึ้น ซึ่งนี่เป็นเรื่องที่ดี แต่ถ้ามองมากไปกว่านั้น ถ้าเราสนใจในกระบวนการคิดและผลิตเชิงนวัตกรรมตั้งแต่จุดเริ่มต้นของวัตถุดิบ อาทิ เทคโนโลยีเส้นใยผ้า หรือการนำวัสดุธรรมชาติมาผสานกับเทคโนโลยีเพื่อสร้างมูลค่าให้สินค้า เหล่านี้มันเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้งานสร้างสรรค์ของเรามีความยูนีคไม่เหมือนใคร และทำให้แบรนด์ของเรามีตัวตนที่ชัดเจน …“ผมยกตัวอย่างแบรนด์หนึ่งที่เขานำเศษใบไม้มาต่อยอดเพื่อการผลิตเป็นวัสดุทดแทนหนัง ขณะเดียวกันเขาก็ได้นำนวัตกรรมนี้ไปจดสิทธิบัตร และนำมาผลิตเป็นสินค้า โดยชูเรื่องนี้เป็นหัวใจสำคัญของแบรนด์ ตรงนี้แหละคือปลายทางของความยั่งยืน เพราะความยั่งยืนมันไม่ใช่เพียงประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม แต่ยังรวมถึงการที่แบรนด์ของคุณต้องอยู่ให้ได้ในเชิงธุรกิจ ซึ่งสิ่งสำคัญคือแบรนด์คุณต้องมีความโดดเด่น และมีทิศทางที่สอดรับไปกับกระแสของโลก มันอาจจะเริ่มจากแนวคิดเล็ก ๆ ในระดับท้องถิ่น แต่ถ้าธุรกิจคุณอยู่ได้ แบรนด์คุณก็จะเติบโต และถ้าแบรนด์คุณเติบโตโดยมีรากฐานที่ใส่ใจในความยั่งยืน ผมเชื่อว่าสิ่งนี้คือหัวใจของความสำเร็จ”อาจไม่ใช่ผลลัพธ์ แต่การได้เห็นพัฒนาการระหว่างทางคือสิ่งสำคัญสุเมธ ยอดแก้วเจ้าของค่ายเพลง Minimal Records และอาจารย์ประจำวิทยาลัยศิลปะ สื่อและเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเชียงใหม่“ดีไซน์วีกปีนี้ผมดูสองส่วน คือเป็นคณะกรรมการพิจารณางานโชว์เคส กับเป็นผู้จัดงาน LABBfest. ที่เป็นอีเวนท์ด้านดนตรีของศิลปินในภาคเหนือ พูดถึงเรื่องแรกก่อน ปีนี้ ผมเห็นว่ามีผู้เข้าทำโชว์เคสหลายรายที่เคยมาร่วมแสดงกับเทศกาลในปีก่อน ๆ มีพัฒนาการที่ดีขึ้นอย่างน่าสนใจ ทั้งในเชิงการนำเสนอ การทำแบรนด์ดิ้ง ไปจนถึงวิธีคิดในการต่อยอดในเชิงธุรกิจ งานโชว์เคสหลายชิ้นมีกระบวนความคิดในเชิงงานวิจัยทางศิลปะที่เล่นล้อไปกับช่วงเวลา ฤดูกาล บริบทของพื้นที่ หรือความเชื่อมโยงกับวิถีชีวิตประจำวันของคนทั่วไป ซึ่งเป็นเสน่ห์ที่เชื่อมโยงผู้ชมให้ไปคิดต่อได้ อย่างไรก็ดี ถ้าพิจารณาในมิติด้านเทคโนโลยี ซึ่งเป็นหนึ่งในแนวคิดหลักของเทศกาล อาจจะต้องมีการนำเสนอหรือต่อยอดให้มากกว่านี้ …“แต่นั่นล่ะ ผมมองว่าดีไซน์วีกหรือเทศกาลด้านความคิดสร้างสรรค์อะไรก็ตามแต่ มันไม่ใช่แค่การนำเสนอผลงานที่ประสบความสำเร็จอย่างเดียว สิ่งสำคัญคือการได้เห็นพัฒนาการหรือกระบวนการทำงานของนักสร้างสรรค์แต่ละกลุ่มหรือแต่ละคน เพื่อเป็นบทเรียนหรือเป็นแรงบันดาลใจ การที่เราได้เห็นนักสร้างสรรค์หน้าเดิม ซึ่งมีผลงานที่มีแนวคิดต่างไปจากเดิม หรือมีพัฒนาการกว่าเดิม หรือกระทั่งจุดด้อยที่ถ้ามีการปรับแก้ หรือต้องอาศัยประสบการณ์มากกว่านี้ถึงจะสมบูรณ์ ตรงนี้แหละคือเสน่ห์ของเทศกาลฯ …“ขณะที่งาน LABBfest. ก็เช่นกัน นอกจากในปีนี้ที่เราจะขยายสเกลให้มากขึ้น รวมถึงมีการชักชวนผู้จัดเทศกาลดนตรีในญี่ปุ่นมาดูงานแสดงของศิลปินท้องถิ่น ควบคู่ไปกับโปรโมเตอร์จากค่ายเพลงที่เราเชิญมาอยู่แล้วในงาน 3 ครั้งก่อนหน้านี้ ผมก็หวังว่านี่มันจะเป็นโอกาสให้ศิลปินในบ้านเราได้มีช่องทางเพิ่มมากขึ้น …“ผมว่าทั้งแวดวงนักสร้างสรรค์และวงการดนตรีของเชียงใหม่มีความคล้าย ๆ กันอยู่ ตรงที่เรามีระบบนิเวศด้านพื้นที่และโอกาสค่อนข้างมาก มีคนทำงานฝีมือดี ๆ เยอะแยะ แต่สิ่งที่ขาดคือคาแรกเตอร์หรือความเฉพาะตัวที่ทำให้ผลงานของพวกเขาโดดเด่นหรือแตกต่างกว่าคนอื่น ๆ สิ่งนี้อาจต้องอาศัยประสบการณ์และการขัดเกลา และการได้เห็นผลงานของคนอื่น ๆ ที่จัดแสดงในเทศกาลหรืออีเวนท์ประมาณนี้เยอะ ๆ จะช่วยได้มาก”

ทำตลาดชั่วคราวอย่างไรให้ยั่งยืน สำรวจแนวคิดธุรกิจหมุนเวียนใน POP MARKET

ไม่เพียงแค่นิทรรศการ เวิร์กช็อป และกิจกรรมต่าง ๆ ในเทศกาลงานออกแบบเชียงใหม่ 2567 (Chiang Mai Design Week 2024) ที่นำเสนอแนวคิด “SCALING LOCAL: Creativity, Technology and Sustainability” ซึ่งเป็นธีมหลักในปีนี้ แนวคิดเรื่องความยั่งยืน (Sustainability) ยังปรากฏในกิจกรรมออกร้านอย่าง POP Market ตลาดสุดชิคจากผู้ประกอบการสร้างสรรค์ทั่วภาคเหนือ ในขณะที่ POP Market คือตลาดนัดที่จัดขึ้นปีละครั้งในช่วงเทศกาลงานออกแบบเชียงใหม่ แล้วเราจะทำอย่างไรให้ตลาดชั่วคราวนี้สอดรับไปกับแนวคิดเรื่องความยั่งยืน ซึ่งหาใช่เพียงสินค้าที่จำหน่าย แต่ยังรวมถึงวัสดุตั้งร้าน การประหยัดพลังงาน ไปจนถึงบรรจุภัณฑ์ และการจัดการขยะ รวมถึงส่งต่อแนวคิดดังกล่าวสู่ผู้มาร่วมงานอย่างแท้จริง ด้วยเหตุนี้ เมื่อต้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา CEA เชียงใหม่ ได้ร่วมกับกลุ่มสมดุล เชียงใหม่ (Somdul Chiang Mai) จัดเวิร์กช็อป POP Market’s Vendor’s Training Program ชวนผู้ประกอบการสร้างสรรค์ที่ได้รับการคัดเลือกออกร้านใน Pop Market ปีนี้ กว่า 130 ราย (ครอบคลุมตั้งแต่แบรนด์ผลิตภัณฑ์ประเภทไลฟ์สไตล์ ของแต่งบ้าน เครื่องประดับ แฟชั่น อาหารและเครื่องดื่ม) มาร่วมสัมมนาเชิงปฏิบัติการ กับ กมลนาถ องค์วรรณดี จาก นักออกแบบ วิทยากร และที่ปรึกษาธุรกิจด้านแฟชั่นยั่งยืนจาก CIRCO Circular Design Trainer และสิทธิชาติ สุขผลธรรม ที่ปรึกษาและนักวิจัยด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ จาก CREAGY เพื่อหาแนวทางขับเคลื่อนตลาด POP Market ด้วยมิติของความยั่งยืนอย่างแท้จริง โปรแกรมแบ่งออกเป็น 2 วัน ครอบคลุมตั้งแต่การทำความเข้าใจในธุรกิจหมุนเวียนเชิงลึก โดยมีกมลนาถมาบรรยายในหัวข้อ ‘ความสำคัญของการออกแบบเพื่อความยั่งยืนในธุรกิจสร้างสรรค์ และการสื่อสารคุณค่าด้านความยั่งยืนสู่ผู้บริโภค’ และส่วนที่ 2 ‘การบัญชีคาร์บอน / การคำนวณ Carbon Footprint เบื้องต้น’ ที่สิทธิชาติชวนผู้ร่วมงานเรียนรู้เรื่องการทำบัญชีคาร์บอนเบื้องต้น และทดลองให้ผู้ร่วมงานคำนวนบัญชีคาร์บอนจากธุรกิจของตัวเอง  กมลนาถเริ่มต้นบรรยายถึงความสำคัญของการทำธุรกิจที่ขับเคลื่อนด้วยแนวคิดด้านความยั่งยืน ซึ่งหาใช่เพียงเป็นเทรนด์ของโลกที่ไม่มีทางจะหายไปง่าย ๆ แต่มันยังช่วยสร้างภาพลักษณ์ให้กับแบรนด์สินค้าของผู้ประกอบการรายย่อยให้มีความโดดเด่นและน่าดึงดูด รวมถึงสามารถรับมือกับการแข่งขันด้านราคากับสินค้าอุตสาหกรรมจากจีนที่เข้ามาตีตลาดในบ้านเราอย่างหนักหน่วงในปัจจุบัน “ปัจจุบันการนำเสนอภาพลักษณ์ของสินค้าผ่าน storytelling เป็นเรื่องสำคัญ เพราะมันทำให้สินค้าเราแตกต่างจากท้องตลาด ไม่ว่าจะเป็นที่มาของวัสดุ ความเชื่อมโยงกับสิ่งแวดล้อมและชุมชน รวมถึงกระบวนการผลิต การใช้งาน และการจัดการหลังจากสินค้าถูกใช้ที่ไม่ส่งผลกระทบต่อโลก เป็นต้น สิ่งเหล่านี้ไม่เพียงสร้างคุณค่าแต่ยังเพิ่มมูลค่าให้สินค้าเราได้” กมลนาถ กล่าว  ขณะที่สิทธิชาติเล่าถึงความสำคัญของการคำนวณคาร์บอนฟุตพริ้นท์ที่ไม่จำเป็นว่าเราต้องเป็นเจ้าของกิจการขนาดใหญ่ หากความเข้าใจในเรื่องนี้ยังช่วยให้เจ้าของธุรกิจขนาดเล็กสามารถประหยัดต้นทุนการผลิต และมองเห็นถึงจุดแข็งและจุดอ่อนในการดำเนินธุรกิจของแบรนด์อย่างรอบด้าน “การคำนวณคาร์บอน คือการคำนวณพลังงานที่เราใช้ในการทำกิจกรรมในแต่ละวัน ซึ่งอย่าลืมว่า พลังงานคือต้นทุนสำคัญในการดำเนินธุรกิจ ทั้งค่าน้ำมันรถ ค่าไฟฟ้า หรือค่าแก๊สหุงต้ม ถ้าเรารู้ว่าเราใช้พลังงานไปมากน้อยอย่างไร คุณก็สามารถควบคุมต้นทุนที่ไม่จำเป็นได้ คือไม่ถึงกับต้องเร่งเปลี่ยนอุปกรณ์หรือเครื่องใช้ไฟฟ้าให้มันประหยัดพลังทั้งหมดก็ได้ แค่พิจารณาว่าในแต่ส่วนของธุรกิจเรามันมีตรงไหนที่สิ้นเปลืองโดยใช่เหตุบ้าง แล้วค่อย ๆ ปรับแก้กันไป” สิทธิชาติ กล่าว  กมลนาถยังเสริมอีกว่าในอนาคตองค์ความรู้เรื่องคาร์บอนฟุตพริ้นท์จะไม่ใช่เรื่องไกลตัวของผู้ประกอบการรายย่อยอีกต่อไป เพราะปัจจุบันกลไกของภาครัฐอย่าง การเก็บภาษีคาร์บอน หรือมาตรการ ESPR (ระเบียบว่าด้วยการออกแบบผลิตภัณฑ์เพื่อความยั่งยืนของสหภาพยุโรป) เริ่มนำมาบังคับใช้กับผู้ประกอบการรายใหญ่ ซึ่งจะส่งผลถึงธุรกิจขนาดกลางและเล็กต่อมาตามลำดับ  “โลกกำลังต้องการวัตถุดิบ สินค้า และบริการที่สอดคล้องกับเศรษฐกิจหมุนเวียนหรือคาร์บอนต่ำอย่างมาก โดยเฉพาะกับนโยบายจัดซื้อสีเขียวของภาครัฐ ที่จะมากระตุ้นอุปสงค์ของผลิตภัณฑ์และบริการที่ยั่งยืน “ดังนั้นการปรับตัวนำแนวทางปฏิบัติที่ยั่งยืนมาใช้ในธุรกิจไว้ก่อนย่อมดีกว่าเพราะเมื่อโอกาสมาถึงเราจะพร้อม และยังสามารถใช้แนวทางการดำเนินกิจการด้วยความยั่งยืนเป็นแต้มต่อ ผ่านการสร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง เป็นหัวใจของการประชาสัมพันธ์สินค้า ไปจนถึงการพาผลิตภัณฑ์ของเราไปสู่ตลาดสากลที่กำลังให้ความสำคัญกับประเด็นเหล่านี้ได้ง่าย” กมลนาถ กล่าว ควบคู่ไปกับการแนะนำแบรนด์สินค้าและบริการขนาดย่อม ที่ขับเคลื่อนด้วยแนวคิดของความยั่งยืนทั้งไทยและต่างประเทศ ซึ่งต่างประสบความสำเร็จจากการหาช่องว่างทางการตลาดที่มีอยู่ในปัจจุบันได้ กมลนาถยังยกตัวอย่างโมเดลของการทำตลาดนัดหรือตลาดชั่วคราวที่ขับเคลื่อนด้วยแนวคิดเรื่องเศรษฐกิจสีเขียวและเศรษฐกิจหมุนเวียนอย่างน่าสนใจ  ไม่ว่าจะเป็น Bamboo Family Market (เปิดทุกวันเสาร์ – อาทิตย์ เวลา 09.00 – 16.00 น. บริเวณแยกหลุยส์ อำเภอสันกำแพง เชียงใหม่) ผู้จัดตลาดฯ ที่พยายามปลูกฝังสำนึกด้านความยั่งยืนผ่านผู้ขายไปยังผู้ซื้อ ไม่ว่าจะเป็นการส่งเสริมการขายสินค้าท้องถิ่นที่ทำจากวัสดุธรรมชาติ กลไกการลดขยะที่คิดแต่ต้นทาง โดยขอความร่วมมือให้ผู้ประกอบการใช้ภาชนะที่ใช้ซ้ำได้ พร้อมทั้งมีจุดล้างภาชนะ และการแยกขยะที่ชัดเจน   และ Green Market (ภายในเทศกาล Cry Mate ที่มิวเซียมสยาม กรุงเทพฯ จัดขึ้นระหว่างวันที่ 18-19 พฤษภาคม 2567) ที่ให้บริการ Ecocrew สำหรับให้ผู้ซื้อเช่าภาชนะบรรจุอาหาร เพียงลูกค้าจ่ายเงินมัดจำค่าภาชนะ 20 บาท และจ่ายค่าชาม/จานมาใช้ใส่อาหารในงานอีก 5 บาท โดยเมื่อลูกค้านำภาชนะเหล่านี้ไปซื้ออาหาร ทางร้านก็จะลดราคาให้ 5 บาท เป็นการชดเชยค่าใช้จ่ายที่ลูกค้าเสียไปตอนต้น และเมื่อนำภาชนะกลับมาคืนที่จุดรับก็ได้เงินมัดจำ 20 บาทคืน ลูกค้าจึงไม่ต้องแบกต้นทุนค่าภาชนะ ขณะที่ โลกก็ไม่จำเป็นต้องแบกขยะที่ย่อยสลายได้ยากเพิ่มขึ้นอีกจากตลาดแห่งนี้  “เราว่าเชียงใหม่และหลาย ๆ เมืองในภาคเหนือมีรากฐานของเศรษฐกิจหมุนเวียนที่ดีอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นการทำสินค้าหัตถกรรมจากวัสดุธรรมชาติและวัสดุหมุนเวียน การเป็นแหล่งผลิตสินค้าเกษตรอินทรีย์ชั้นนำ รวมถึงการเกื้อหนุนทรัพยากรภายในชุมชน เหล่านี้คือแต้มต่อที่ดีในการทำพื้นที่การขายให้มีกระบวนการขับเคลื่อนที่ยั่งยืน“แม้ตัวอย่างของการบริหารจัดการวัสดุและขยะเหลือใช้ในตลาดสองแห่งที่ยกมาอาจฟังดูยุ่งยากทั้งในมุมของผู้ซื้อและผู้บริโภค แต่มันก็ช่วยสร้างเสน่ห์ให้กับตลาดเหล่านี้อย่างมาก รวมถึงยังเป็นการส่งต่อสำนึกเรื่องการอนุรักษ์ทรัพยากรให้แก่ผู้ซื้อออกไปอีกเช่นกัน” กมลนาถ กล่าว  นอกจากนี้ สิทธิชาติยังเน้นย้ำถึงประโยชน์ที่ผู้ประกอบการรายย่อยจะได้รับจากการกำหนดทิศทางธุรกิจให้สอดรับกับความยั่งยืน โดยชี้ให้เห็นว่า เมื่อผู้ประกอบการตระหนักในเรื่องนี้ ธุรกิจจะไม่ได้จำกัดผู้เล่นเพียงแค่ ‘ผู้ซื้อ’ และ ‘ผู้ขาย’ แต่ยังให้ความสำคัญปังผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในห่วงโซ่คุณค่าทั้งหมดด้วย สิ่งนี้จะช่วยขยายมุมมองของเจ้าของกิจการ ทำให้มองเห็นทั้งจุดแข็งและจุดอ่อน รวมถึงข้อมูลและตัวแปรอีกมากมายสำหรับนำมาใช้ในการพัฒนาธุรกิจของเรา  “อย่าลืมว่าผู้ประกอบการรายย่อยและ ผู้บริโภค คือประชากรส่วนใหญ่ของระบบเศรษฐกิจบนโลกใบนี้ ถ้าผู้ขายสามารถส่งต่อคุณค่าด้านความยั่งยืนให้กับผู้ซื้อได้ มันก็จะส่งผลต่อเนื่องถึงพฤติกรรมการใช้ชีวิตของเราทุกคน ผมจึงคิดว่าคนตัวเล็ก ๆ อย่างเราเนี่ยแหละคือพลังสำคัญที่ทำให้โลกเราดีกว่านี้ได้” สิทธิชาติ กล่าวทิ้งท้าย  เหล่านี้คือผลลัพธ์บางส่วนจากมุมมองของสองนักเคลื่อนไหวเพื่อความยั่งยืน ซึ่งแน่นอนว่าบางส่วนของความคิดจะปรากฏเป็นรูปธรรมภายในงาน POP Market เทศกาลงานออกแบบเชียงใหม่ปีนี้ แล้วมาพบกันที่ย่านกลางเวียงเชียงใหม่ 7 – 15 ธันวาคม 2567 มาร่วมช้อปปิ้งสินค้าสร้างสรรค์ พร้อมกับส่งต่อแนวคิดรักษ์โลกไปด้วยกัน

Business Program: Several Ways of Growing Your Business

‘Business Program’ คือโปรแกรมที่ออกแบบมาเพื่อต่อยอดศักยภาพและความเชี่ยวชาญของผู้ประกอบการสร้างสรรค์ ด้วยการเชื่อมโยงผู้ซื้อกับผู้ผลิต และนักสร้างสรรค์ให้ได้มาพบปะเจรจาธุรกิจ เปลี่ยนความต้องการเป็นรายได้ เพิ่มช่องทางการขาย ขยายกลุ่มลูกค้า และสร้างเครือข่ายความร่วมมือ ตลอดจนเป็นพื้นที่แลกเปลี่ยนไอเดียระหว่างสองขั้วอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ สู่การพัฒนาโปรเจ็กต์ล้ำ ๆ ผ่านเครื่องมือหลักอย่าง Business Matching, Studio Visit, LABBfest., Local Talent และการร่วมมือกับ Mango Art Festival เพื่อสร้างกลไกสนับสนุนที่เปิดโอกาสให้ทุกความคิดและจินตนาการสามารถค้นพบความเป็นไปได้ใหม่ในโลกของธุรกิจสร้างสรรค์Business Matching เครื่องมือยอดฮิตติดปีกธุรกิจให้พร้อมบุกเบิกตลาดใหม่ ๆ โดย Business Matching ในเทศกาลงานออกแบบเชียงใหม่ ต้องการเป็นพื้นที่จับคู่ธุรกิจให้ผู้ประกอบการด้านงานฝีมือและหัตถกรรม (Craft) งานออกแบบ (Design) และผู้ประกอบการธุรกิจสร้างสรรค์ทั่วภาคเหนือได้นำเสนอสินค้าและบริการให้กับผู้ซื้อและผู้ใช้งานจริง ควบคู่ทำหน้าที่เป็นแพลตฟอร์มสร้างเครือข่ายความร่วมมือ รวมถึงเจรจาธุรกิจกับคู่ค้าจากแบรนด์ชั้นนำต่าง ๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ อาทิ ลาว ไต้หวัน ญี่ปุ่น สกอตแลนด์ และรัสเซีย เพื่อโอกาสต่อยอดทางธุรกิจในอนาคต Studio Visit เครื่องมือที่จะพากลุ่มผู้ซื้อคุณภาพสูง และเครือข่ายนักสร้างสรรค์ จากทั้งในไทย และต่างประเทศ ไปเยี่ยมชมแหล่งผลิตหัตถอุตสาหกรรมและสตูดิโอศิลปะ สำรวจวิธีคิด กระบวนสร้างสรรค์ผลงาน เห็นศักยภาพและความพร้อมในการผลิตผลงานสู่ลูกค้า ไม่ว่าจะรายใหญ่แบบจำนวนมาก (Mass Production) หรือรายย่อยแบบตามคำสั่งซื้อ (Made To Order) พร้อมแลกเปลี่ยนพูดคุยทำความรู้จักกับผู้ประกอบการให้ลึกซึ่งยิ่งขึ้น ก่อนตบท้ายด้วยกิจกรรมเจรจาธุรกิจที่จะช่วยสร้างโอกาสทางการตลาดและต่อยอดไอเดียธุรกิจใหม่ ๆ ร่วมกันในบรรยากาศสุดเอ็กซ์คลูซีฟLABBfest. เครื่องมือสนับสนุนเวทีแสดงความสามารถให้เหล่าศิลปินในเชียงใหม่และภาคเหนือตอนบน ทั้งศิลปินอิสระและนักดนตรีอาชีพไม่จำกัดแนวเพลงที่มีผลงานเพลงของตัวเองได้มาโชว์ฝีมือและนำเสนอผลงาน ท่ามกลางบรรดาผู้ฟัง ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมดนตรี และโปรโมเตอร์ค่ายเพลงระดับหัวแถวของเมืองไทยและต่างประเทศ อาทิ เมียนมา ไต้หวัน ญี่ปุ่น มาเลเซีย และอินโดนีเซีย รวมถึงผู้จัดเทศกาลดนตรี อย่าง Big Mountain หรือ Monster Music Festival ซึ่งจะมาร่วมเปิดโสตประสาทรับเสพความหลากหลายของซาวด์ดนตรีสดใหม่ พร้อมคัดเลือกวงที่โดนใจไปโชว์ความสามารถกันต่อบนเวทีเทศกาลดนตรีชื่อดังทั่วไทยยันชิมลางบนเวทีคอนเสิร์ตต่างแดน นอกจากนี้ยังเป็นเสมือนพื้นที่แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมทางดนตรีกับคนดนตรีจากประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคเอเชียที่มาร่วมแจม เพื่อเป็นแรงขับเคลื่อนให้อุตสาหกรรมดนตรีในภาคเหนือตอนบนพัฒนาไปสู่ระดับประเทศและนานาชาติLocal Talent เครื่องมือสร้างโอกาสการพบปะเจรจาธุรกิจระหว่างผู้ร่วมลงทุนหรือผู้ว่าจ้างกับกลุ่มนักสร้างสรรค์รุ่นใหม่ ที่กำลังมองหาเส้นทางการเติบโต พัฒนาทักษะความสามารถ และร่วมงานกับแบรนด์ที่ใฝ่ฝันในแวดวงอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ในท้องถิ่นหลากหลายสาขา อาทิ งานออกแบบเครื่องปั้นดินเผา แฟชั่นและสิ่งทอ และเฟอร์นิเจอร์ เป็นต้น ควบคู่กับการส่งเสริมการลงทุนเพื่อพัฒนาสินค้าและบริการ รวมถึงปลุกปั้นไอเดียเจ๋ง ๆ ให้เป็นจริง สำหรับกลุ่ม Next Generation และกลุ่ม Homecoming ในพื้นที่ภาคเหนือ Mango Art Festival เครื่องมือฉายศักยภาพของบรรดาศิลปินท้องถิ่นภาคเหนือ โดยจับมือกับ Mango Art Fest เทศกาลสร้างสรรค์พื้นที่นำเสนอผลงานศิลปะของศิลปินท้องถิ่นภาคเหนือ สำหรับการเจรจาติดต่อระหว่างศิลปิน แกลเลอรี องค์กรทางศิลปะ แบรนด์สินค้า เรื่อยไปจนธุรกิจที่พักและโรงแรมในเครือชั้นนำระดับโลก ซึ่งในปีนี้ทางเทศกาลงานออกแบบเชียงใหม่ พร้อมด้วยคิวเรเตอร์มากประสบการณ์ยังคงเฟ้นหาผลงานศิลปะและงานออกแบบกึ่งศิลปะที่มีเอกลักษณ์ น่าจับตามอง ไปร่วมจัดแสดงภายในงาน Mango Art Fest อีกเช่นเคย เพื่อส่งเสริมวงการศิลปะในภาคเหนือและผลักดันผลงานของเหล่าศิลปินท้องถิ่นรวมถึงศิลปินหน้าใหม่ให้ออกไปสู่สายตาผู้สนใจในวงกว้างมากยิ่งขึ้น

From Creative District to Venue of Creativity

From Creative District to Venue of Creativity  ‘ย่านสร้างสรรค์’ คือ หนึ่งในภารกิจขับเคลื่อนเศรษฐกิจสร้างสรรค์ของสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (CEA) ที่มีเป้าหมายเพื่อพัฒนาระบบนิเวศน์ที่เอื้อต่อกระบวนการคิด การผลิต และการตลาด พร้อมส่งเสริมธุรกิจและบริการในอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ สำหรับจังหวัดเชียงใหม่ ทาง CEA เชียงใหม่ ได้มีการดำเนินการสำรวจข้อมูลศักยภาพ อีกทั้งทำงานเชื่อมโยง ผู้คน พื้นที่ และสินทรัพย์ภายใน ‘ย่านเมืองเก่า (คูเมืองชั้นใน)’ ซึ่งไม่เพียงมีความสำคัญทางด้านประวัติศาสตร์ หากยังเพียบพร้อมด้วยองค์ประกอบพื้นฐานที่เหมาะสมต่อการพัฒนาไปสู่ย่านสร้างสรรค์ อาทิ ชุมชนท้องถิ่น ช่างหัตถกรรมผู้เชี่ยวชาญ นักออกแบบ และผู้ประกอบการธุรกิจสร้างสรรค์ ที่ผลิตสินค้าและบริการโดยผสานความคิดสร้างสรรค์ต่อยอดต้นทุนทางศิลปวัฒนธรรมสู่ความร่วมสมัยอย่างรู้ซึ้งในคุณค่า  จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2563 จึงมีการประกาศให้ ‘ย่านกลางเวียง’ (ครอบคลุมพื้นที่ระหว่างอนุสาวรีย์สามกษัตริย์ – ล่ามช้าง) และ ‘ย่านช้างม่อย – ท่าแพ’ เป็นพื้นที่ย่านสร้างสรรค์ต้นแบบแห่งแรกในภูมิภาคเพื่อเป็นกรณีศึกษาแนวทางการพัฒนาย่านสร้างสรรค์แก่จังหวัดอื่น ๆ ในภาคเหนือ ควบคู่จัดกิจกรรมทดลองขับเคลื่อนย่านบนฐานคิดเศรษฐกิจสร้างสรรค์ตลอดทั้งปี  โดยมีเทศกาลงานออกแบบเชียงใหม่ (Chiang Mai Design Week) เป็นอีกเครื่องมือช่วยจุดประกายโอกาสการเรียนรู้ เปิดพื้นที่ในการแลกเปลี่ยน แบ่งปันและถ่ายทอดสารพัดไอเดียสร้างสรรค์ ผ่านโจทย์อันท้าทายทลายข้อจํากัดให้ทุกคนในย่านได้เข้ามีส่วนร่วมลงขันความคิด ลองผิดลองถูก หรือนำเสนอสิ่งที่กำลังสนใจ ตลอดจนเชื่อมโยงเครือข่ายสร้างสรรค์ระหว่างกลุ่มคนที่มีบทบาทขับเคลื่อนในพื้นที่ อาทิ เทศบาล ผู้นําชุมชน ผู้ประกอบการดั้งเดิม วัด โรงเรียน กับนักสร้างสรรค์และผู้ประกอบการธุรกิจสร้างสรรค์ เพื่อริเริ่มโปรเจ็กต์ทดลอง มองหาความเป็นไปได้ใหม่ ๆ พร้อมเก็บเกี่ยวทักษะการทำงานและกระบวนการคิดเชิงสร้างสรรค์ (Creative Thinking) ที่สามารถนำไปบูรณาการพัฒนาย่าน สินค้าและบริการ รวมถึงยกระดับคุณภาพชีวิต ขณะเดียวกันเทศกาลยังเปรียบเสมือนช่วงเวลาแสนพิเศษที่ทุกคนจะได้เข้ามาสัมผัสกับย่านสร้างสรรค์ในมุมมองที่แตกต่าง ท่ามกลางสีสันบรรยากาศสนุกสนานรื่นรมย์ สร้างบทสนทนาแลกเปลี่ยนเรียนรู้และซึมซับแรงบันดาลใจจากเหล่าผู้คนในแวดวงอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ ผ่านกิจกรรมน่าสนใจมากมาย อาทิ การจัดแสดงผลงานออกแบบร่วมสมัยและงานหัตถกรรมท้องถิ่น เวิร์คช็อปงานศิลปะและภูมิปัญญาพื้นบ้าน การออกบูธทดสอบตลาดของผู้ประกอบการธุรกิจสร้างสรรค์ การแสดงดนตรี ภาพยนตร์ และอีกหลากโปรแกรมเชื่อมประวัติศาสตร์สู่วิถีร่วมสมัย ซึ่งจะอยู่บริเวณย่านกลางเวียง  ส่วนย่านช้างม่อย – ท่าแพ จะถูกเนรมิตให้เป็นพื้นที่ปลดปล่อยไอเดียและจัดกิจกรรมสุดพิเศษเฉพาะช่วงเทศกาลของผู้ประกอบการธุรกิจดั้งเดิม ผู้ประกอบการธุรกิจสร้างสรรค์และนักสร้างสรรค์ในย่าน รวมถึงเยี่ยมชม City Farming โปรแกรมสร้างพื้นที่สีเขียวกินได้ที่ชาวย่านรวมพลังกันพัฒนาแหล่งอาหารปลอดภัย พลันเชื่อมโยงผลผลิตสู่ครัวเรือนเพื่อการบริโภคอาหารที่ดีต่อสุขภาพ เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม พร้อมต่อยอดสร้างรายได้ในอนาคต  นอกจากนี้ยังมีโปรแกรมนำเสนอศักยภาพอุตสาหกรรมท้องถิ่นสร้างสรรค์อีกหลายหลาก ครอบคลุมอุตสาหกรรมอาหาร งานหัตถกรรม งานออกแบบ ดนตรี และศิลปะ ที่จะกระจายตัวเติมเต็มประสบการณ์สร้างสรรค์ในพื้นที่สำคัญอื่น ๆ ทั่วเมืองเชียงใหม่ ให้ทุกคนได้ร่วมกันค้นหาโอกาส มองความเป็นไปได้และศักยภาพที่น่าสนใจเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ดียิ่งขึ้นกว่าเดิม

ประกาศรายชื่อผู้ผ่านการคัดเลือก CMDW2024

SCALING LOCAL: Creativity, Technology and Sustainability

เชียงใหม่คือเมืองที่ขึ้นชื่อในด้านการเป็นศูนย์กลางอันรุ่มรวยของศิลปวัฒนธรรม ภูมิปัญญาเชิงช่าง และความคิดสร้างสรรค์ แต่ในทางกลับกัน ก็เป็นเรื่องที่ทราบดีว่าเมืองของเรานี้ก็กำลังเผชิญกับความท้าทายหลากประการที่จำเป็นต้องแก้ไข ไม่ว่าจะเป็นปัญหาเศรษฐกิจ ความเหลื่อมล้ำ ไปจนถึงมลภาวะทางอากาศ ฯลฯ แม้เราไม่อาจรับมือกับสิ่งเหล่านี้ด้วยงานออกแบบและความคิดสร้างสรรค์ได้เพียงลำพัง หากเมื่อพวกเราทุกคนในท้องถิ่นได้นำต้นทุนอันเป็นแต้มต่อของเมืองมาเรียนรู้ แลกเปลี่ยน ต่อยอด และหลอมรวมเข้าด้วยกัน ผลลัพธ์จึงอาจไม่ใช่เพียงหนทางในการแก้ปัญหาในระดับเมือง แต่ยังรวมถึงการสร้างต้นแบบหรือบทเรียนสำหรับการยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คนทั้งในระดับภูมิภาคไปจนถึงระดับสากล เพื่อเป็นหนึ่งในพื้นที่กลางสำหรับการผสานพลังความร่วมมือ เทศกาลงานออกแบบเชียงใหม่ หรือ Chiang Mai Design Week จึงได้รับการจัดขึ้นอย่างต่อเนื่องในทุกปี เพื่อเป็นการอัปเดตนวัตกรรมและความร่วมมือของเหล่านักสร้างสรรค์หลากสาขาอาชีพ รวมถึงเชื่อมโยงเครือข่ายความร่วมมือกับเหล่านักสร้างสรรค์และผู้ประกอบการจากเมืองอื่นๆ ทั้งในและต่างประเทศ เพื่อขยายโอกาส นวัตกรรม และช่องทางธุรกิจให้เติบโตพร้อมกันอย่างยั่งยืน เทศกาลที่จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 10 ในปีนี้จัดขึ้นภายใต้แนวคิด SCALING LOCAL: Creativity, Technology and Sustainability ซึ่งเป็นแนวคิดในการกระชับความร่วมมือของเหล่านักสร้างสรรค์ในระดับท้องถิ่นเพื่อสร้างผลกระทบเชิงบวกในระดับสากล ผ่าน 3 องค์ประกอบสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนเมืองเชียงใหม่ให้พร้อมรับมือกับความท้าทายทั้งในปัจจุบันและอนาคต เริ่มจาก Creativity (ความคิดสร้างสรรค์) ที่เทศกาลฯ ปักหมุดในฐานะทรัพยากรพื้นฐานที่สำคัญของเมืองเชียงใหม่ ทรัพยากรที่เกิดจากการสั่งสมภูมิปัญญาด้านศิลปวัฒนธรรมและสุนทรียะอันชาญฉลาดของผู้คนจากรุ่นสู่รุ่นต่อเนื่องกันมาหลายศตวรรษ และเป็นทรัพยากรที่ทางเทศกาลฯ อยากชวนให้ทุกคนย้อนกลับมาสำรวจ ใคร่ครวญ และตระหนักในคุณค่าที่มีอย่างภาคภูมิ Technology (เทคโนโลยี) คือเครื่องมือในการต่อยอดต้นทุนของเมืองไปสู่ศักยภาพที่ยังประโยชน์อย่างแท้จริง ซึ่งหาใช่เพียงเทคโนโลยีที่ช่วยอำนวยความสะดวกแก่ชีวิต แต่ยังรวมถึงนวัตกรรมที่ช่วยแก้ปัญหาชุมชน สังคม รวมถึงการบรรเทาผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอันเป็นความท้าทายสำคัญระดับนานาชาติในปัจจุบัน ที่สำคัญ นี่ยังเป็นเครื่องมือที่เชื่อมร้อยศักยภาพของเมืองเชียงใหม่สู่การพลิกโฉมทางเศรษฐกิจ และที่ทางที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล และ Sustainability (ความยั่งยืน) อันเป็นปลายทางของความร่วมมือระหว่างผู้คน ความคิดสร้างสรรค์ และเทคโนโลยีทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับนานาชาติ ความยั่งยืนอันจะปรากฏทั้งในรูปแบบของการเติบโตทางเศรษฐกิจ การพัฒนาสังคม โอกาสของคนรุ่นใหม่ รวมถึงความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อม ทั้ง 3 องค์ประกอบนี้จะถูกร้อยเรียงในฐานะเสาหลักของกิจกรรมต่างๆ ที่เกิดขึ้นตลอด 9 วันของเทศกาลในพื้นที่ทั่วเมืองเชียงใหม่ ไม่ว่าจะเป็นนิทรรศการงานออกแบบขนาดใหญ่ งานเสวนา เวิร์กช็อป กิจกรรมทางศิลปะ การแสดง ภาพยนตร์ และดนตรี รวมถึงเป็นกรอบความร่วมมือทางธุรกิจในระดับภูมิภาคและนานาชาติ ทั้งยังเป็นการเน้นย้ำวิธีคิดที่ทางเทศกาลฯ ให้ความสำคัญเสมอมาตลอดหนึ่งทศวรรษ เพราะเราเชื่อว่าความยั่งยืนที่แท้จริงเกิดจากศักยภาพของคนตัวเล็กๆ อย่างพวกเราทุกคน มาร่วมกันเฉลิมฉลองพลังสร้างสรรค์ สำรวจและพัฒนานวัตกรรม และจุดประกายให้อุตสาหกรรมสร้างสรรค์ของเมืองเชียงใหม่ให้เฉิดฉายสู่ระดับโลกกับเทศกาลงานออกแบบเชียงใหม่ 2567 “SCALING LOCAL: Creativity, Technology and Sustainability” ระหว่างวันที่ 7 – 15 ธันวาคมนี้ ที่เชียงใหม่

What was going on during CMDW2023

ก่อนที่จะพบกับ “เทศกาลงานออกแบบเชียงใหม่ 2567” (Chiang Mai Design Week 2024) เทศกาลฯ ขอพาทุกคนย้อนกลับไปท้ายปี 2566 อย่าง “เทศกาลงานออกแบบเชียงใหม่ 2566” (Chiang Mai Design Week 2023) จัดโดย สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน) หรือ CEA ที่ครั้งนี้ สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้กับภาคเหนือกว่า 848.1 ล้านบาท และมีผู้เข้าร่วมงานกว่า 181,553 คน! ชมคลิปบรรยากาศเทศกาลฯ คลิก https://youtu.be/jS_kxF7RQs0?si=2uDL00qigVLqGG9-เทศกาลฯ จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 9 เมื่อวันที่ 2 – 10 ธันวาคม 2566 ที่ผ่านมา ภายใต้แนวคิด ‘Transforming Local: ปรับตัว ต่อยอด ท้องถิ่น เติบโต’ ใน 2 ย่านสำคัญทางประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และเศรษฐกิจของเมืองเชียงใหม่ ทั้ง ‘ย่านกลางเวียง (พิพิธภัณฑ์พื้นถิ่นล้านนา – ล่ามช้าง)’ และ ‘ย่านช้างม่อย – ท่าแพ’ รวมถึงพื้นที่อื่น ๆ ทั่วเมืองเชียงใหม่กว่า 77 จุด ตลอด 9 วันของการจัดงาน มีการจัดกิจกรรมที่น่าสนใจกว่า 223 โปรแกรม ที่เกิดจากพลังสร้างสรรค์ของนักออกแบบ ช่างฝีมือ ศิลปิน นักดนตรี และนักสร้างสรรค์หลากหลายสาขาจากทั่วภาคเหนือกว่า 744 ราย และผนึกกำลังเครือข่ายของต่างชาติและไทยถึง 12 ประเทศ ประกอบด้วยญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ไต้หวัน จีน ฝรั่งเศส เยอรมนี สิงคโปร์ มาเลเซีย เมียนมา ลาว และอินเดีย รวมทั้งความร่วมมือจากภาคีเครือข่ายผู้สนับสนุนมากกว่า 60 หน่วยงานCEA ขอขอบคุณความร่วมมือและแรงสนับสนุนจากทุกภาคส่วน ที่ทำให้เกิดพื้นที่นำเสนอศักยภาพของนักสร้างสรรค์ ศิลปิน และเครือข่ายผู้ประกอบการ นำไปสู่การสร้างโอกาสใหม่ทางธุรกิจที่เกิดจากการต่อยอดสินทรัพย์และผลผลิตทางวัฒนธรรมที่มีอยู่เดิม ก่อให้เกิดสินค้าและบริการที่มีมูลค่าทางความคิดสร้างสรรค์ (Value Creation) ซึ่งสะท้อนดีเอ็นเอความเป็น ‘เชียงใหม่’ ได้อย่างร่วมสมัย ในเทศกาลงานออกแบบเชียงใหม่ 2566 ทั้งยังเป็นการส่งเสริมเมืองเชียงใหม่ในฐานะเมืองสร้างสรรค์ยูเนสโก สาขาหัตถกรรมและศิลปะพื้นบ้าน (Crafts and Folk Art) ให้เติบโตสู่การเป็นเมืองสร้างสรรค์ในเวทีโลกต่อไป อย่าพลาดปลายปีนี้ เตรียมขึ้นเหนือมาร่วมเฉลิมฉลองวาระครบรอบ 1 ทศวรรษ “Chiang Mai Design Week” ไปด้วยกัน กับ “เทศกาลออกแบบเชียงใหม่ 2567” (Chiang Mai Design Week 2024) ที่ครั้งนี้ เทศกาลฯ ได้เดินทางมาถึงปีที่ 10 แล้ว ภายใต้แนวคิด “𝗦𝗖𝗔𝗟𝗜𝗡𝗚 𝗟𝗢𝗖𝗔𝗟: 𝗖𝗿𝗲𝗮𝘁𝗶𝘃𝗶𝘁𝘆, 𝗧𝗲𝗰𝗵𝗻𝗼𝗹𝗼𝗴𝘆 𝗮𝗻𝗱 𝗦𝘂𝘀𝘁𝗮𝗶𝗻𝗮𝗯𝗶𝗹𝗶𝘁𝘆” แล้วพบกันวันที่ 7 – 15 ธันวาคม 2567!