อัพเดทและเที่ยวชมงาน
Exhibitors Seminar สัมมนาผู้ร่วมจัดเทศกาลงานออกแบบเชียงใหม่ 2568
วันที่ 9 กันยายน 2568 สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน) เชียงใหม่ จัดงานแถลงข่าวและสัมมนาสุดพิเศษสำหรับผู้ร่วมจัดแสดงในเทศกาลงานออกแบบเชียงใหม่ 2568 ภายในงานเต็มไปด้วยกิจกรรมที่น่าสนใจ อาทิ การเสวนาหัวข้อ : Local Plus : ร่วมมือกัน สร้างสรรค์ เติบโต โดย คุณอิ่มหทัย กันจินะ ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ เชียงใหม่ ร่วมกับเหล่าพันธมิตร เครือข่ายความร่วมมือภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ ได้แก่ ดร.กอบกิจ อิสรชีววัฒน์ ประธานหอการค้าจังหวัดเชียงใหม่, คุณปิยะนันท์ มหานุภาพ ที่ปรึกษาสมาคมผู้ผลิตและผู้ส่งออกสินค้าหัตถกรรมภาคเหนือ (Nohmex), คุณฉัตรนิธิศวร์ จันทาพูน กลุ่ม Thai Perfumer, คุณณัฐพล วรรณาภรณ์ ผู้แทนจากสมาคมเชียงใหม่เคลย์เอทีฟ และคุณสุเมธ ยอดแก้ว บริษัท มินิมอล เรคคอร์ด จำกัดนอกจากนี้ มีการบรรยายพิเศษในหัวข้อ “ลิขสิทธิ์และกฎหมายการออกแบบ โดย ทีม EasyLaw” และ “Local Sustainability โดย คุณกอบลาภ ไทยทัน บริษัท ซาน เมซง จำกัด และ บริษัท พาย คารบอนด์ จำกัด” ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อนักออกแบบที่ต้องการพัฒนาผลงานของตนเอง และเสริมความรู้ด้านกฎหมายที่สำคัญในการต่อยอดธุรกิจ รวมถึงให้ความสำคัญในการผลักดันอุตสาหกรรมสร้างสรรค์บนพื้นฐานของความยั่งยืนเพื่อก้าวสู่การเป็นผู้ประกอบการในระดับสากลเทศกาลงานออกแบบเชียงใหม่ (Chiang Mai Design Week) คือเทศกาลประจำปีที่จัดโดยสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน) หรือ CEA ร่วมกับเครือข่ายนักสร้างสรรค์และผู้ประกอบการในภาคเหนือ นำเสนอผลงานและไอเดียที่ผสานนวัตกรรมเข้ากับชีวิตประจำวัน ทั้งยังเป็นเวทีเชื่อมโยงความร่วมมือระดับภูมิภาคและนานาชาติ เพื่อยกระดับเศรษฐกิจ และเสนอทางออกต่อความท้าทายทางสังคมและสิ่งแวดล้อมร่วมสมัยในปี 2568 เทศกาลฯ จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 11 ภายใต้แนวคิด “LOCAL PLUS: ร่วมมือกัน สร้างสรรค์ เติบโต” มุ่งสร้างพื้นที่ คิดบวก (+) และต่อยอดพลังร่วมของผู้คน องค์กร และภาคส่วนต่าง ๆ โดยนอกจาก “การบวกเพิ่ม” เทศกาลฯ ยังได้หยิบเครื่องหมายทางคณิตศาสตร์อื่นมาใช้สื่อความหมาย ทำให้งานออกแบบกลายเป็นเครื่องมือขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมที่จับต้องได้ไม่ว่าจะเป็นเครื่องหมายคูณ (×) ที่หมายถึงการทวีพลังสร้างสรรค์จากท้องถิ่นสู่สากล เครื่องหมายหาร (÷) การแบ่งปันองค์ความรู้และนวัตกรรมสร้างสรรค์ และเครื่องหมายลบ (−) ที่สื่อถึงการลดข้อจำกัดและผลกระทบสิ่งแวดล้อม โดยทั้งหมดได้รับการร้อยเรียงให้เป็นสมการที่นำไปสู่ความเป็นไปได้อย่างไม่สิ้นสุด (∞) ตอบโจทย์ผู้คนทุกวัย และยังเป็นสื่อกลางเชื่อมผู้คนต่างวัยให้ได้สนุกกับกิจกรรมสร้างสรรค์อันหลากหลายแนวคิดเหล่านี้จะปรากฏอยู่ทั่วเมืองเชียงใหม่ ทั้งในย่านเมืองเก่า ถนนช้างม่อย-ราชวงศ์ ถนนท่าแพ และถนนช้างคลาน ทั้งยังถ่ายทอดผ่านโปรแกรมจากเครือข่ายนักสร้างสรรค์ทั่วภาคเหนือที่มาร่วมจัดแสดงผลงานในเทศกาลฯ ผ่านเรื่องราวของอาหาร งานหัตถกรรม ดนตรี และงานออกแบบ ภายใต้สามเป้าหมายหลัก ได้แก่ การเฉลิมฉลองนักสร้างสรรค์คืนถิ่น (homecoming) การสืบสานวิถีท้องถิ่นที่ยั่งยืน (local sustainable living) และการเชื่อมโยงเครือข่ายนักสร้างสรรค์และผู้ประกอบการเพื่อสร้างพื้นที่แห่งโอกาสใหม่ (new opportunities) ในส่วนของกิจกรรมไฮไลต์ เทศกาลฯ นำผู้ชมย้อนสำรวจต้นทุนธรรมชาติและวัฒนธรรมของภาคเหนือในมุมมองร่วมสมัย พร้อมต่อยอดด้วยพลังบวกจากความร่วมมือในหลายสาขา เช่น.– นิทรรศการจากกลุ่มนักทำน้ำหอมชั้นนำของไทย ที่ใช้ทรัพยากรท้องถิ่นและวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร สร้างเป็นกลิ่นหอมที่ทั้งลดปัญหาสิ่งแวดล้อมและเพิ่มรายได้ให้เกษตรกร– นิทรรศการจากเครือข่ายด้านความยั่งยืนอาหาร ที่นำเสนอศักยภาพวัตถุดิบท้องถิ่นและการทำงานร่วมกันเพื่อสร้างมูลค่าใหม่แก่อุตสาหกรรมอาหาร– เทศกาลดนตรี LABBfest. ที่เชื่อมศิลปินภาคเหนือกับเวทีทั้งในและต่างประเทศ– POP Market ตลาดสร้างสรรค์ ที่นำเสนอสินค้าและบริการจากกระบวนการที่คำนึงถึงความยั่งยืน ตั้งแต่ผลิตภัณฑ์ที่วางจำหน่ายไปจนถึงการจัดงาน– รวมถึงเวิร์กช็อปและการแสดงศิลปะร่วมสมัยอีกมากมายทั้งนี้ เพื่อขยายพลังของ LOCAL PLUS เทศกาลฯ ยังร่วมมือกับเครือข่ายนานาชาติ จัดแสดงผลงานของนักออกแบบและศิลปินจากไต้หวัน ออสเตรีย อุซเบกิสถาน ญี่ปุ่น และอีกหลายประเทศ พร้อมกิจกรรมแลกเปลี่ยนประสบการณ์ระหว่างนักสร้างสรรค์ท้องถิ่นและนานาชาติร่วมเฉลิมฉลอง แบ่งปัน และสานพลังสร้างสรรค์ให้ภาคเหนือเราได้เฉิดฉาย พร้อมสร้างแรงบันดาลใจขับเคลื่อนโลก ในเทศกาลงานออกแบบเชียงใหม่ 2568 ภายใต้แนวคิด “LOCAL PLUS: ร่วมมือกัน สร้างสรรค์ เติบโต” ระหว่างวันที่ 6–14 ธันวาคม 2568 ในย่านเมืองเก่าเชียงใหม่ ถนนช้างม่อย–ราชวงศ์ ถนนท่าแพ และถนนช้างคลาน#CMDW2025 #ChiangMaiDesignWeek #LocalPlus
12 ก.ย. BBBB
จาก Blue Zone ถึง Blue Ocean โอกาสทางเศรษฐกิจจากสังคมสูงวัยเชียงใหม่
จาก Blue Zone ถึง Blue Ocean โอกาสทางเศรษฐกิจจากสังคมสูงวัยเชียงใหม่ เมื่อต้นทุนครบ แต่เมือง (อาจ) ยังไม่พร้อมภายในปี พ.ศ. 2578 ประเทศไทยจะกลายเป็นประเทศกำลังพัฒนาแห่งแรกของโลกที่เข้าสู่ “สังคมผู้สูงวัยระดับสุดยอด” (Super-aged Society) หรือมีประชากรอายุเกิน 60 ปี มากกว่าร้อยละ 30 ของประชากรทั้งประเทศแต่ไม่ต้องรอถึงวันนั้น เพราะในวันนี้ เราก็ก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัยเต็มรูปแบบโดยสมบูรณ์แล้ว เพราะไม่ว่าจะมองไปที่จังหวัดไหน ก็ล้วนมีสัดส่วนประชากรที่อายุ 60 ปีขึ้นไป เกินร้อยละ 20 อย่างต่อเนื่องหนึ่งในเมืองที่สะท้อนภาพดังกล่าวได้ชัด คือ “เชียงใหม่” จังหวัดที่เพิ่งได้รับการจัดอันดับว่ามีพื้นที่มากที่สุดในประเทศ และเป็นหนึ่งในจังหวัดที่มีจำนวนผู้สูงอายุสูงสุดจากข้อมูลของกรมกิจการผู้สูงอายุ (ปี 2566) เชียงใหม่มีผู้สูงอายุถึง 404,512 คน คิดเป็นร้อยละ 24.08 ของประชากรทั้งจังหวัด โดยตัวเลขดังกล่าวยังไม่นับรวมจำนวนผู้เกษียณจากต่างประเทศ ทั้งในสหรัฐอเมริกาและยุโรป ที่ต่างเลือกเชียงใหม่เป็นที่พำนักในวัยปลายของชีวิต สิ่งนี้อาจชี้ให้เห็นผลกระทบที่จะตามมาในเมืองที่ต้องพึ่งพาเศรษฐกิจภาคบริการและแรงงานเป็นหลักอย่างเชียงใหม่ หากในอีกมุมหนึ่ง วิกฤตสังคมสูงวัยที่เรากำลังเผชิญก็สามารถเป็นโอกาสได้เช่นกัน Blue Zone เมื่อเมืองยั่งยืน ผู้คนจึงอยู่ยาว ย้อนกลับไปในช่วงต้นทศวรรษมิลเลเนียม ดร.มิเชล ปูลาแล็ง (Dr.Michel Poulain) นักประชากรศาสตร์ชาวเบลเยียม และ ดร.เจียนนี เปส (Dr.Gianni Pes) นักระบาดวิทยาชาวอิตาเลียน ตั้งข้อสงสัยว่าเหตุใดภูมิภาคบาร์บาเกีย (Barbagia) บนเกาะซาร์ดิเนีย ประเทศอิตาลี ถึงมีอัตราของผู้มีอายุยืนสูงกว่าค่าอายุเฉลี่ยของผู้คนทั่วโลก พวกเขาเริ่มศึกษาปัจจัยเบื้องหลัง และใช้ปากกาหมึกสีน้ำเงินวงกลมรอบพื้นที่ดังกล่าวบนแผนที่ ข้อมูลจากการศึกษาถูกตีพิมพ์ในวารสารวิชาการ Experimental Gerontology ในปี 2547 ก่อนที่ แดน บิวต์เนอร์ (Dan Buettner) นักเขียนจาก National Geographic ที่ร่วมทำงานวิจัยกับนักวิชาการทั้งสองท่าน ได้ขยายพื้นที่การศึกษาเรื่องนี้ต่อจนเกิดเป็นบทความสารคดี และหนังสือ Blue Zone ซึ่งตีพิมพ์ในปี 2551 และด้วยเหตุนี้ Blue Zone จึงเป็นที่จดจำในฐานะพื้นที่ ดินแดน หรือเมืองที่มีผู้คนอายุยืนกว่าค่าเฉลี่ยโลก ทั้งยังมีคุณภาพชีวิตที่ดีด้วยโอกินาวา (ญี่ปุ่น) ซาร์ดิเนีย (อิตาลี) นิโคยา (คอสตาริกา) อิคาเรีย (กรีซ) โลมา ลินดา (สหรัฐอเมริกา) และสิงคโปร์ คือ 6 เมืองแรกที่ได้รับการขีดวงด้วยปากกาสีน้ำเงิน ซึ่งแดนได้ค้นพบ 6 ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เมืองเหล่านี้เป็นมิตรกับผู้สูงวัย นั่นคือ1) การที่ผู้คนในเมืองมีวัตถุประสงค์ในการใช้ชีวิต2) พวกเขากินอาหารน้อยแต่พอดี (ประมาณ 80% ของความอิ่ม) 3) มีโภชนาการที่เน้นพืช ผัก ถั่ว ปลา ไขมันดี 4) มีความสัมพันธ์ทางสังคมและครอบครัวแน่นแฟ้น5) มีชุมชนศาสนาหรือความเชื่อเป็นที่พึ่งพิง6) มีวิถีชีวิตที่ไม่เร่งรีบ พักผ่อนอย่างมีคุณภาพสิ่งเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นจากพฤติกรรมของบุคคลเพียงลำพัง หากยังต้องอาศัยสภาพแวดล้อมของเมืองที่เอื้ออำนวย ตั้งแต่บรรยากาศที่ผ่อนคลาย ความหลากหลายของอาหาร การเข้าถึงสุขภาพ ไปจนถึงเครือข่ายความสัมพันธ์ในชุมชนเมื่อมองกลับมาที่เชียงใหม่—เมืองที่ตั้งใกล้ชิดกับธรรมชาติ รุ่มรวยด้วยศิลปวัฒนธรรม ผู้คนมีวิถีชีวิตที่เนิบช้าผ่อนคลาย แลยังสามารถเข้าถึงอาหารการกินที่มีคุณภาพและหลากหลาย ฯลฯ อีกทั้ง เมืองยังมีผู้สูงอายุเกินค่าเฉลี่ย หรือมีอายุมากกว่า 100 ปี มากถึง 1,152 คน (สูงเป็นอันดับ 3 ของประเทศ รองจากกรุงเทพมหานคร และนนทบุรี) เมื่อพิจารณาจากต้นทุนดังกล่าว ว่าไปแล้ว เชียงใหม่ก็มีศักยภาพไม่น้อยที่จะได้รับการขีดวงสีน้ำเงินบนแผนที่ Ready Set Old: แก่ ดี มีสุขข้อเสนอเรื่องการยกระดับเชียงใหม่ให้เป็น Blue Zone ถูกยกนำมาถกเถียงครั้งแรกในนิทรรศการ Ready Set Old: แก่ดี มี สุข นิทรรศการที่เกิดจากความร่วมมือของ CEA, กมลกานต์ โกศลกาญจน์, กริยา บิลยะลา, THINKK Studio และ STUDIO 150 ซึ่งจัดแสดงในเทศกาลงานออกแบบเชียงใหม่ 2567 (Chiang Mai Design Week 2024) นิทรรศการพาไปสำรวจต้นทุนและความพร้อมในมิติต่าง ๆ ของเมืองเชียงใหม่ในการรองรับคุณภาพชีวิตที่ดีของผู้สูงวัย ขณะเดียวกันก็ชวนให้สำรวจโอกาสในการพัฒนาเศรษฐกิจ ผ่านอาชีพที่รองรับ Blue Zone ผ่าน 4 องค์ประกอบสำคัญ อย่างการเข้าถึงอาหารเพื่อสุขภาพที่หลากหลาย (ซึ่งนิทรรศการชี้ให้เห็นโอกาสในการต่อยอดสู่ธุรกิจอาหารเพื่อสุขภาพสำหรับผู้สูงวัย) กิจวัตรประจำวันที่เอื้อให้เกิดการเคลื่อนไหวร่างกายอย่างเป็นธรรมชาติ (อาชีพเทรนเนอร์สำหรับผู้สูงวัย หรือครีเอเตอร์ด้านสุขภาพ) การมีที่อยู่อาศัยที่ครบพร้อมและยังคงความสัมพันธ์แบบครอบครัวขนาดใหญ่ (นักเวชศาสตร์ฟื้นฟูแบบองค์รวม หรือบริการด้านการท่องเที่ยวสำหรับผู้สูงวัย) และการมีเป้าหมายชีวิตผ่านการยึดเหนี่ยวทางศาสนาและศิลปวัฒนธรรม (อาชีพด้านการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม) แม้จะขึ้นต้นด้วยสีน้ำเงิน (Blue) เหมือนกัน แต่ Blue Zone ก็ไม่ได้มีความหมายอะไรที่สอดพ้องไปกับ Blue Ocean หรือนิยามของพื้นที่ทางธุรกิจที่ยังไม่ค่อยมีการแข่งขันแต่กระนั้น เมื่อพิจารณาจากองค์ประกอบข้างต้นทั้งหมด ความพร้อมต่อการเป็น Blue Zone ของเชียงใหม่ ก็อาจนำไปสู่การสร้างพื้นที่ทางเศรษฐกิจใหม่ภายใต้นิยาม Blue Ocean ได้เช่นกันโอกาสที่ (อาจ) ยังไม่เติมเต็มในขณะที่นิทรรศการ Ready Set Old: แก่ดี มี สุข นำเสนอโอกาสในการพัฒนาอาชีพหรือเปิดธุรกิจใหม่ ๆ ที่รองรับกับการเป็นเมืองผู้สูงวัยโดยสมบูรณ์ของเชียงใหม่ ในช่วงท้ายของนิทรรศการ ก็ยังเปิดให้ผู้ชมร่วมกันแสดงความคิดเห็นถึง “ข้อจำกัด” บางประการที่อาจทำให้เชียงใหม่ไม่สามารถสร้าง Blue Zone ดังที่ แดน บิวต์เนอร์ ได้เสนอไว้“การขาดแคลนพื้นที่สีเขียว” และ “มลภาวะทางอากาศ” คือความท้าทายหลัก ที่ผู้ชมนิทรรศการฯ ได้เสนอแนะไว้ ขณะที่บางส่วนมองว่าการที่เชียงใหม่ยังไม่มี “ระบบขนส่งมวลชน” และ “ทางเท้าที่สะดวก” ก็ถือเป็นอุปสรรคสำคัญรองลงมา เช่นเดียวกับสวัสดิการสำหรับผู้สูงอายุจากภาครัฐที่ยังน้อยเกินไป และเมืองยังขาด “พื้นที่เพื่อผู้สูงอายุ” ที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้อย่างครอบคลุมทั้งนี้ เมื่อพิจารณาถึงนโยบายรองรับหรือยกระดับคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุของเมืองเชียงใหม่ ทั้งในระดับหน่วยปกครองส่วนท้องถิ่น และจังหวัด แม้จะมีความพยายามขับเคลื่อนในรูปแบบข้อเสนอเชิงนโยบายจากหน่วยการศึกษาต่าง ๆ (อาทิ วิทยาลัยการศึกษาตลอดชีวิต มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ https://www.lifelong.cmu.ac.th/medee/content/e4aef79ae30907cf0987b9f7016b068f หรือแผนการพัฒนาที่อยู่อาศัยของผู้สูงอายุ ของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ https://www.m-society.go.th/ewtadmin/ewt/MSO_WEB_NEW/news_view.php?nid=41364) หากยังไม่พบนโยบายใดได้ที่ถูกพัฒนาเป็นรูปธรรม รวมถึงแผนการยกระดับศักยภาพที่เมืองมี สู่การพัฒนาเศรษฐกิจที่รองรับโอกาสในเรื่องนี้แต่อย่างใด“จริง ๆ เชียงใหม่ก็มีพื้นที่เพื่อผู้สูงอายุพอสมควรนะ แต่ส่วนใหญ่จะเป็นพื้นที่เอกชนที่มีค่าใช้จ่าย ขณะที่พื้นที่ของรัฐเอง มีค่อนข้างจำกัด และไม่มีการประชาสัมพันธ์เท่าที่ควร” ป้าแดง – นฤมล คลังวิเชียร หนึ่งในคณะกรรมการชุมชนพวกแต้ม ให้ความเห็น“ป้าว่าในเมื่อเมืองเราเข้าสู่สังคมผู้สูงวัยเต็มรูปแบบ การมีพื้นที่กิจกรรม หรือการผ่อนคลายสำหรับผู้สูงอายุ ควรเป็นสวัสดิการหลักที่รัฐต้องจัดหาให้อย่างเท่าเทียม”เช่นเดียวกับมุมมองของ ป้านิด-วนิดา อินทวงศ์ ข้าราชการเกษียณ ที่มองว่าแม้วิถีชุมชนในเมืองเชียงใหม่ เอื้อให้ผู้สูงอายุเข้าถึงคุณภาพชีวิตที่ดี แต่ถ้ามีหน่วยงานมาส่งเสริมให้นิเวศการใช้ชีวิตของผู้สูงอายุสามารถต่อยอดเป็นอาชีพเสริมได้อย่างยั่งยืน สิ่งนี้จะช่วยดึงดูดให้เชียงใหม่เป็นเมืองที่มีความน่าอยู่ขึ้นได้อีกมาก“เรามีศูนย์ฝึกอบรมวิชาชีพผู้สูงอายุ และมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ก็เพิ่งเปิดศูนย์ผู้สูงอายุ (ศูนย์ส่งเสริมพฤตพลังผู้สูงอายุ – https://www.swc.cmu.ac.th/ ) ไปไม่นาน แต่ก็ยังเป็นพื้นที่ที่จำกัด และหลายโครงการก็มีค่าใช้จ่าย ป้าคิดว่าหน่วยงานระดับเมือง ควรมีการบูรณาการพื้นที่เหล่านี้ และเอื้อให้ผู้สูงวัยเข้าถึงการใช้บริการโดยมีต้นทุนค่าใช้จ่ายที่น้อยที่สุด หรือไม่มีเลยยิ่งดี” ป้านิด กล่าวเหล่านี้ คือเสียงสะท้อนบางส่วนจากคน “วงใน” ที่ชี้ว่าถ้ารัฐเข้ามาอุดช่องว่างที่เมืองขาด ตั้งแต่โครงสร้างพื้นฐานของเมือง ไปจนถึงการบูรณาการการทำงานและทรัพยากรที่เมืองมี สิ่งนี้จะสามารถต่อยอดให้เชียงใหม่ ไม่เป็นเพียง “เมืองต้นแบบด้านสุขภาวะ” สำหรับผู้สูงวัย แต่ยังเปิดโอกาสใหม่ ๆ ทางเศรษฐกิจและสังคม ที่ทำให้ความแก่ชรามีความหมายและนั่นไม่เพียงอาจทำให้เชียงใหม่กลายเป็น Blue Zone ลำดับที่ 7 ของโลก แต่ยังรวมถึงการเปลี่ยน Blue Zone ให้กลายเป็น Blue Ocean ที่มี “ผู้สูงวัย” เป็นทั้งกลุ่มเป้าหมายรวมถึงพลังสำคัญในการขับเคลื่อน นิทรรศการ Ready Set Old แก่ ดี มีสุข จัดแสดงในเทศกาลงานออกแบบเชียงใหม่ 2567 ระหว่างวันที่ 7 – 12 ธันวาคม 2567 ณ TCDC เชียงใหม่ที่มา:https://www.bluezones.com/ https://www.ncbi.nlm.nih.gov/books/NBK298903/ https://www.swc.cmu.ac.th
07 ส.ค. BBBB
เติมพลังสร้างสรรค์แบบเหนือ ๆ ยกระดับท้องถิ่นด้วยความร่วมมือที่ไม่จำกัด
โลกที่หมุนไว เศรษฐกิจที่ผันผวน สังคมที่พลิกโฉม และธรรมชาติที่เดาใจยาก – เราจะรับมือกับความท้าทายเหล่านี้อย่างไร ถ้าไม่เริ่มจาก “การร่วมมือกัน” เทศกาลงานออกแบบเชียงใหม่ (Chiang Mai Design Week) เป็นเวทีรวมพลังนักสร้างสรรค์จากทุกสารทิศ ที่เชื่อว่าการผนึกกำลังของคนในพื้นที่ เมื่อจับมือกับเครือข่ายทั้งในและต่างประเทศ จะช่วยเปิดประตูสู่โอกาสใหม่ ๆ ท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนแปลง และผลักดันให้เมืองและชุมชนเติบโตอย่างสร้างสรรค์สู่ทศวรรษใหม่ของเทศกาลออกแบบที่จัดขึ้นครั้งแรกในประเทศไทย เทศกาลฯ กลับมาพร้อมกับแนวคิด LOCAL PLUS (โลคัล พลัส) ยกระดับเชียงใหม่และภาคเหนือ ให้เป็นพื้นที่ “คิดบวก” สำหรับรองรับไอเดียใหม่ ๆ นวัตกรรม ผู้คน ความสนุกสนาน และเมล็ดพันธุ์แห่งความคิดสร้างสรรค์ เปลี่ยนงานออกแบบให้เป็นมากกว่าความงามและการใช้งาน แต่เป็นเครื่องมือขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมที่จับต้องได้จริงไม่เพียงการคิดบวก LOCAL PLUS ยังสะท้อนผ่านเครื่องหมายทางคณิตศาสตร์ที่นำไปสู่ผลลัพธ์ไม่จำกัด:“คูณ” (multiply, ×) เพิ่มพลังสร้างสรรค์เป็นทวีคูณ ขยายพื้นที่จัดแสดงจากเชียงใหม่สู่เครือข่ายเมืองสร้างสรรค์ในภาคเหนือ และเชื่อมพื้นที่ปล่อยของสำหรับนักสร้างสรรค์ท้องถิ่นสู่ระดับสากล “หาร” (division, ÷) แบ่งปันนวัตกรรมและองค์ความรู้ สร้างพื้นที่กลางสำหรับแชร์ไอเดียใหม่ ๆ เพื่อเปลี่ยนความร่วมมือที่ตั้งต้นจากท้องถิ่น เป็นกลไกยกระดับเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตของคนทั้งประเทศและ “ลบ” (minus, −) การประสานความร่วมมือเพื่อขจัดข้อจำกัดที่ทำให้ก้าวไม่พ้น ลดการทำงานซ้ำซ้อน ลดการสิ้นเปลืองทรัพยากร และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมมาร่วมสำรวจพลังบวกของคนเหนือ ที่นำไปสู่ผลกระทบเชิงบวกอย่างไม่สิ้นสุด (infinity, ∞) ในเทศกาลออกแบบเชียงใหม่ 2568 (Chiang Mai Design Week 2025) ครั้งที่ 11 ระหว่างวันที่ 6 – 14 ธันวาคม 2568 ที่เชียงใหม่#CMDW2025 #LocalPlus #ChiangMaiDesignWeek
19 มิ.ย. BBBB
Honey Dialogues คุยกับนักวิจัยน้ำผึ้งถึงศักยภาพที่ไปไกลกว่ารสหวาน
‘Honey Dialogues’ คุยกับนักวิจัยน้ำผึ้งถึงศักยภาพที่ไปไกลกว่ารสหวานรศ.ดร.เทิด ดิษยธนูวัฒน์“หวานปานน้ำผึ้งเดือนห้า” คือคำเปรียบเปรยเก่าก่อนที่สะท้อนถึงความหวานอันเลิศล้ำจากห้วงเวลาที่ดีที่สุดที่ฝูงผึ้งในบ้านเราสามารถผลิตได้กระนั้น น่าสนใจที่ว่าแม้ “น้ำผึ้ง” จะเป็นหนึ่งในวัตถุดิบประกอบอาหารที่เก่าแก่ที่สุดในอารยธรรมมนุษย์ และในบ้านเราจะมีผึ้งมากกว่า 100 สายพันธุ์ (จาก 20,000 สายพันธุ์ทั่วโลก) คนไทยส่วนใหญ่ก็กลับคุ้นเคยแค่ความหวานจากน้ำผึ้งดอกลำไย ซึ่งปัจจุบันเป็นหนึ่งในวัตถุดิบหลักในระบบอุตสาหกรรมอาหารบ้านเราเพียงรสเดียว“น้ำผึ้งให้รสหวาน แต่ผึ้งสายพันธุ์ต่าง ๆ หรือกระทั่งสายพันธุ์เดียวกันที่อาศัยอยู่ในป่าที่มีลักษณะต่างกัน ก็กลับให้รสหวานที่มีมิติที่ต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ หนึ่งในเป้าหมายในการทำงานของผม คือการเปิดมิติของรสชาติให้คนส่วนใหญ่ได้รู้” เบนซ์-วีรวิชญ์ อินทร์ประยงค์ เจ้าของบำรุงสุขฟาร์ม เกษตรกรหนุ่มนักสะสมน้ำผึ้ง หนึ่งในไม่กี่คนของเมืองไทยที่มีน้ำผึ้งไม่ต่ำกว่า 130 รสชาติ กล่าวเราพบเบนซ์ในนิทรรศการคน-ผึ้ง-ป่า (Peoples, Bees, and Forests) ที่จัดขึ้นในเทศกาลงานออกแบบเชียงใหม่ ครั้งที่ 10 (Chiang Mai Design Week 2024) เมื่อเดือนธันวาคมปีที่ผ่านมา เขาได้รับเชิญมาเป็นวิทยากรบอกเล่าถึงความหลากหลายของชนิดน้ำผึ้ง รวมถึงเปิดให้ผู้ชมได้ทดลองชิมน้ำผึ้งชนิดต่าง ๆ ซึ่งสามารถจำแนกเฉดรสได้มากถึง 10 เฉด จากรังผึ้งในป่าท้องถิ่นทั่วประเทศ“ปัจจัยที่ส่งผลต่อรสชาติมีอยู่หลายอย่างด้วยกัน อย่างแรกคือชนิดของผึ้ง ซึ่งแบ่งได้เป็น 2 กลุ่มหลัก ๆ คือผึ้ง และชันโรง (ผึ้งไร้เหล็กใน ในวงศ์ Meliponini ซึ่งพบมากในไทย – ผู้เขียน) โดยในกลุ่มของผึ้งก็มีหลายชนิด เช่น ผึ้งหลวง ผึ้งโพรง ผึ้งมิ้ม ส่วนชันโรงก็สามารถจำแนกได้มากถึง 35 ชนิด” เบนซ์ กล่าว“น้ำหวานจากชันโรงบางชนิดมีรสคล้ายน้ำผึ้ง เช่น พันธุ์ขนเงิน ถ้วยดำ บางชนิดก็จะออกไปทางน้ำส้ม เช่น อุ้งหมี อีตาม่า ส่วนชันโรงดินจะมีความเป็นยาสูง พวกนี้อาศัยในโพรงดิน ซึ่งชันโรงแต่ละชนิดกินอาหารต่างกัน ทำให้รสชาติน้ำหวานก็ต่างกัน”เบนซ์มองน้ำผึ้งป่า การเก็บสะสม ไปจนถึงการจัดจำหน่ายภายใต้แบรนด์บำรุงสุขฟาร์มไม่ต่างจากไวน์ เขาอยากให้ลูกค้าเข้าถึงน้ำผึ้งคุณภาพดีและหลากหลาย ซึ่งสิ่งนี้ไม่เพียงเป็นความมุ่งหมายทางธุรกิจ แต่ยังเป็นแพสชันทางสังคม – เนื่องจากความหลากหลายและสุขภาพของผึ้งคือเครื่องบ่งชี้ความสมบูรณ์ของระบบนิเวศ การที่คนไทยเข้าถึงน้ำผึ้งได้หลากชนิด ย่อมหมายถึงความยั่งยืนของทรัพยากรป่าในบ้านเราในทางเดียวกันข้อมูลจาก World Integrated Trade Solution (WITS) ระบุว่าเมื่อปี 2567 ไทยสามารถส่งออกน้ำผึ้งไปยังตลาดโลกได้มากถึงปีละ 880 ล้านบาท สูงเป็นอันดับ 2 ของอาเซียน (รองจากเวียดนาม) และติดอันดับ 23 ของโลก โดยน้ำผึ้งส่วนใหญ่คือน้ำผึ้งดอกลำไย“ต้องยอมรับว่าน้ำผึ้งลำไยมีสีกลิ่นรสที่ดีมาก อีกทั้งยังมีคุณสมบัติเพื่อสุขภาพที่สูงพอสมควร อีกทั้งเมืองไทยมีผึ้งน้ำหวานถึง 6 ชนิด อย่างน้ำผึ้งโพรง น้ำผึ้งหลวง ถึงจะเป็นน้ำผึ้งลำไยเหมือนกัน แต่ก็ยังมีความหลากหลายของน้ำผึ้งพอสมควร” อาจารย์เทิด – รศ.ดร.เทิด ดิษยธนูวัฒน์ อาจารย์ภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และหนึ่งในทีมงานจัดทำนิทรรศการคน-ผึ้ง-ป่า เล่าถึงเหตุผลว่าทำไมน้ำผึ้งกระแสหลักของไทยต้องเป็นน้ำผึ้งลำไยควบคู่ไปกับความตั้งใจของเบนซ์ที่พยายามส่งเสริมความหลากหลายของน้ำผึ้ง อาจารย์เทิด เลือกลงลึกไปที่การขยายขีดความสามารถของการเลี้ยงผึ้งในฟาร์มอุตสาหกรรมของบ้านเรา โดยเฉพาะผึ้งชันโรง อันเป็นหนึ่งในทางเลือกที่น่าสนใจ จนนำมาสู่โครงการวิจัยพัฒนาผลิตภัณฑ์จากผึ้งและการเลี้ยงผึ้งอย่างยั่งยืน (SMART BEE SDGs) เพื่อขยายศักยภาพและสร้างมูลค่าเพิ่มในการผลิตน้ำผึ้งของเกษตรกรไทย“นอกจากน้ำผึ้งพันธุ์แล้ว ปัจจุบันเกษตรกรไทยก็สนใจเลี้ยงผึ้งชันโรงเพิ่มขึ้นมา เนื่องจากมีความดุน้อยกว่า ตัวน้ำผึ้งมีมูลค่าสูงและมีคุณสมบัติส่งเสริมสุขภาพที่ดีมาก ๆ อีกทั้งการจัดงานประชุมกับเกษตรกรหลายครั้งก็เห็นคนรุ่นใหม่สนใจมาเลี้ยงผึ้งกันพอสมควร ถือเป็นสัญญาณที่ดีของวงการว่ายังมีการสานต่อ” อาจารย์เทิด เล่าถึงภาพรวมของอุตสาหกรรมการเลี้ยงผึ้งในไทยในปัจจุบันงานวิจัยผึ้งของอาจารย์เทิด ไม่เพียงศึกษาทางเลือกในการเพิ่มศักยภาพและการตรวจสอบคุณภาพในการผลิตน้ำผึ้งในบ้านเรา แต่ยังรวมถึงการต่อยอดวัตถุดิบในกระบวนการผลิตสู่สินค้าอื่น ๆ เช่น การสกัดโปรตีนไหมจากผึ้งเป็นเครื่องสำอางคุณภาพสูง ก่อนจะเผยแพร่องค์ความรู้ไปสู่เกษตรกรเลี้ยงผึ้งกลุ่มต่าง ๆ เพื่อเพิ่มช่องทางสร้างรายได้ต่อไป“อีกเรื่องคือการส่งเสริมการผลิตน้ำผึ้งไทยอินทรีย์ เพื่อตลาดมูลค่าสูง ซึ่งเป็นโจทย์ที่ท้าทาย ด้วยนิยามของคำว่าอินทรีย์และการจัดการนั้นยากมาก ต้องมีการศึกษาต่อไป” อาจารย์เทิด กล่าวนอกจากนี้ อาจารย์เทิด ยังเสริมว่า เราสามารถสร้างโอกาสให้ชาวบ้าน คนเก็บน้ำผึ้ง ได้จากการทำเวิร์กช็อป การสร้างเครือข่ายให้เข้มแข็ง การสอนทำผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ หรือ ให้ข้อมูลใหม่จากการวิจัยให้กับเกษตรกรอย่างสม่ำเสมอ ตลอดจนมีการบริการชุมชม อย่างที่ทีมวิจัย SMART BEE SDGs ซึ่งหาทุนวิจัยมารับตรวจน้ำผึ้งจากชาวบ้านโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย เพื่อนำไปใช้ในการส่งเสริมการขายและใช้ได้จริง เกษตรกรหลายท่านเอาไปตั้งโชว์ในการออกบูธทำให้เพิ่มราคาได้ ตลอดจนเปิดตลาดใหม่ ๆ จากการส่งเสริมของภาครัฐและเอกชนเช่นเดียวกับเบนซ์ อาจารย์เทิดยังเสริมว่าน้ำผึ้งให้ประโยชน์กับมนุษย์เรามากกว่าแค่รสหวาน หรือมูลค่าทางเศรษฐกิจ แต่การมีอยู่ของแมลงตัวน้อยผู้ผลิตความหวานเหล่านี้ จะเป็นเครื่องบ่งชี้ถึงความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติอย่างตรงไปตรงมาที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้“หากผึ้งหายไปจากระบบนิเวศ เนื่องจากกิจกรรมมนุษย์หลาย ๆ อย่าง อาทิ การใช้สารเคมี การทำเกษตรแบบพืชเชิงเดี่ยว ผึ้งลดลง พืชพันธุ์ก็ผสมพันธุ์ได้ลดลง พืชผักผลไม้ก็จะหายตามไป เช่นเดียวกับสัตว์กินพืชก็จะลดลง และสัตว์กินสัตว์เองก็จะลดลงตาม จนสุดท้ายก็วนกลับมายังมนุษย์เราเองที่อยู่บนสุดในระบบนิเวศจะขาดแคลนอาหาร” อาจารย์เทิด กล่าว“เมื่อสิ่งแวดล้อมทั้งระบบล่มสลาย มนุษยชาติก็ต้องล่มสลายในที่สุด แต่ถ้ามนุษย์เราอย่างน้อยช่วยกันช่วยปลูกพืชดอกในบริเวณบ้าน รักษาแหล่งน้ำให้ชุ่มชื้น หรือเจอผึ้งไม่ไปทำลายเขา แต่ยิ้มให้เขาสักหน่อย ให้ผึ้งตัวน้อย ๆ เหล่านี้ไปแวะเวียนมาตอม มาช่วยผสมเกสร เพียงเท่านี้ คน ผึ้ง ป่า ก็จะมีกันและกันไปอีกนาน”นั่นล่ะ จะด้วยการสร้างความรับรู้เรื่องรสอันรุ่มรวยของน้ำผึ้งป่าจากงานของเบนซ์ หรือการสร้างมูลค่าเพิ่มจากน้ำผึ้งในระบบอุตสาหกรรมของอาจารย์เทิด การมีอยู่อย่างหลากหลายของผึ้ง มีนัยสำคัญต่อคุณภาพชีวิตพวกเรามากกว่าที่คิดนิทรรศการคน-ผึ้ง-ป่า (Peoples, Bees, and Forests) จัดแสดงระหว่างวันที่ 7-15 ธันวาคม 2567 ที่ TCDC เชียงใหม่ เป็นส่วนหนึ่งของเทศกาลงานออกแบบเชียงใหม่ 2567 (Chiang Mai Design Week 2024)
10 มิ.ย. BBBB
Open Call for CMDW2025
เปิดรับสมัครผู้เข้าร่วมเทศกาลงานออกแบบเชียงใหม่ 2568ระหว่างวันที่ 15 พฤษภาคม – 30 มิถุนายน 2568โอกาสดีที่จะเป็นหนึ่งในฐานะ “นักสร้างสรรค์” ของเทศกาลงานออกแบบระดับประเทศ เติมพลังสร้างสรรค์แบบเหนือ ๆ ยกระดับท้องถิ่นด้วยความร่วมมือที่ไม่จำกัดเทศกาลงานออกแบบเชียงใหม่ (Chiang Mai Design Week) เป็นเวทีรวมพลังนักสร้างสรรค์จากทุกสารทิศ ที่เชื่อว่าการผนึกกำลังของคนในพื้นที่ เมื่อจับมือกับเครือข่ายทั้งในและต่างประเทศ จะช่วยเปิดประตูสู่โอกาสใหม่ ๆ ท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนแปลง และผลักดันให้เมืองและชุมชนเติบโตอย่างสร้างสรรค์สู่ทศวรรษใหม่ของเทศกาลออกแบบที่จัดขึ้นครั้งแรกในประเทศไทย เทศกาลฯ กลับมาพร้อมกับแนวคิด 𝗟𝗢𝗖𝗔𝗟 𝗣𝗟𝗨𝗦 (โลคัล พลัส) ยกระดับเชียงใหม่และภาคเหนือ ให้เป็นพื้นที่ “คิดบวก” สำหรับรองรับไอเดียใหม่ ๆ นวัตกรรม ผู้คน ความสนุกสนาน และเมล็ดพันธุ์แห่งความคิดสร้างสรรค์ เปลี่ยนงานออกแบบให้เป็นมากกว่าความงามและการใช้งาน แต่เป็นเครื่องมือขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมที่จับต้องได้จริงโดยเทศกาลเปิดรับผลงานหรือกิจกรรมจากนักสร้างสรรค์ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ระหว่างวันที่ 15 พฤษภาคม – 30 มิถุนายน 2568 ประกอบด้วย1. การจัดแสดง (𝗦𝗵𝗼𝘄𝗰𝗮𝘀𝗲 𝗮𝗻𝗱 𝗘𝘅𝗵𝗶𝗯𝗶𝘁𝗶𝗼𝗻) การจัดแสดงผลงานที่นําเสนอแนวคิดเพื่อแก้ปัญหาและพัฒนาคุณภาพชีวิต และสามารถสร้างโอกาสใหม่ในการต่อยอดใช้ได้จริง2. กิจกรรมเสริมสร้างความคิดสร้างสรรค์ อีเวนต์ (𝗘𝘃𝗲𝗻𝘁) เวิร์กช็อป (𝗪𝗼𝗿𝗸𝘀𝗵𝗼𝗽) เสวนา (𝗧𝗮𝗹𝗸) ทัวร์ (𝗧𝗼𝘂𝗿) ดนตรีและการแสดง (𝗠𝘂𝘀𝗶𝗰 & 𝗣𝗲𝗿𝗳𝗼𝗿𝗺𝗮𝗻𝗰𝗲)3. ร้านค้าในตลาด 𝗣𝗢𝗣 𝗠𝗮𝗿𝗸𝗲𝘁 เปิดรับร้านค้า สินค้าดีไซน์ แบรนด์ที่สะท้อนศักยภาพพื้นถิ่นด้วยความคิดสร้างสรรค์ที่สอดคล้องกับการใช้ชีวิตอย่างยั่งยืน และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Local Sustainable Living) ได้แก่ เครื่องแต่งกาย ไลฟ์สไตล์ ของแต่งบ้านและอาหาร4. สถานที่ (𝗩𝗲𝗻𝘂𝗲) เปิดรับพื้นที่ที่มีศักยภาพสนับสนุนการจัดแสดงโปรเจ็กต์และกิจกรรมเชิงสร้างสรรค์ ไม่ว่าจะเป็น สตูดิโอ ร้านค้า ร้านอาหาร โรงแรม โกดัง ลานโล่ง เป็นต้น📍สมัครได้ที่: https://www.chiangmaidesignweek.com/apply📢 ประกาศผลการคัดเลือกในวันที่ 15 กรกฏาคม 2568 ผ่านทางเฟซบุ๊กแฟนเพจ Chiang Mai Design Weekเทศกาลงานออกแบบเชียงใหม่ 2568 (Chiang Mai Design Week 2024) จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 6 – 14 ธันวาคม 2568 ณ ย่านกลางเวียง ย่านช้างม่อย-ท่าแพ แล้วพบกันที่เชียงใหม่สามารถดูคู่มือการสมัครได้ที่นี่: https://drive.google.com/file/d/1u26Hl6LJYTz253N_T-ht7iGvg4B8bl3m/view?usp=sharing#CMDW2025 #LocalPlus #ChiangMaiDesignWeek #CreativeCity #BusinessOpportunity #DesignForImpact #CallForCreators
17 พ.ค. BBBB
โอกาสดีในการเปลี่ยนพื้นที่ของคุณ ให้กลายเป็นจุดหมายใหม่ของเมือง!
𝗖𝗵𝗶𝗮𝗻𝗴 𝗠𝗮𝗶 𝗗𝗲𝘀𝗶𝗴𝗻 𝗪𝗲𝗲𝗸 𝟮𝟬𝟮𝟱 ขอเชิญเจ้าของพื้นที่ว่าง หรืออสังหาริมทรัพย์ที่ต้องการพัฒนา เข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของเทศกาล เพื่อเปลี่ยนพื้นที่ของคุณให้กลายเป็นศูนย์กลางแห่งความคิดสร้างสรรค์ จุดเช็กอินใหม่ของเมือง และพื้นที่แห่งการพบปะ แลกเปลี่ยน ที่มีผลกระทบเชิงบวกต่อเชียงใหม่ ด้วยแนวคิด “Local Plus” มาร่วมสร้างสรรค์ เชื่อมโยงชุมชน อย่างยั่งยืนสิ่งที่คุณจะได้รับ:– แนวคิดการใช้พื้นที่อย่างสร้างสรรค์ จากนักออกแบบและทีมสร้างสรรค์ชั้นนำ– โอกาสเผยแพร่พื้นที่ผ่านเว็บไซต์ แผนที่เทศกาล และโซเชียลมีเดียของงาน– โอกาสต่อยอดการพัฒนาในเชิงธุรกิจหรือเพื่อสังคม– การเชื่อมต่อกับเครือข่ายนักลงทุนและผู้สนใจพัฒนาโครงการในอนาคต– สิทธิ์ในการนำภาพกิจกรรมไปใช้ประชาสัมพันธ์พื้นที่ในอนาคตอย่าพลาดโอกาสสำคัญนี้!// เปิดรับสมัครแล้ว // https://www.chiangmaidesignweek.com/apply/สมัครได้ตั้งแต่วันนี้ – 30 พฤษภาคม 2568ร่วมเป็นหนึ่งในสถานที่สร้างสรรค์ของเทศกาล 𝗖𝗵𝗶𝗮𝗻𝗴 𝗠𝗮𝗶 𝗗𝗲𝘀𝗶𝗴𝗻 𝗪𝗲𝗲𝗸 𝟮𝟬𝟮𝟱#CMDW2025 #chiangmaidesignweek #LocalPlus
04 พ.ค. BBBB
การประชุมเครือข่ายผู้ร่วมจัดเทศกาลงานออกแบบเชียงใหม่ (Chiang Mai Design Week)
สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน) เชียงใหม่ ได้จัดการประชุมภาคีเครือข่ายผู้ร่วมจัดเทศกาลงานออกแบบเชียงใหม่ (Chiang Mai Design Week) เพื่อรับฟังความคิดเห็นจากการจัดเทศกาลฯ ในปีที่ผ่านมาและรับข้อเสนอแนะ แนวทางการเตรียมจัดงานเทศกาล CMDW2025 จากบรรดานักสร้างสรรค์ รวมถึงองค์กร สถาบันการศึกษา และหน่วยงานในจังหวัดเชียงใหม่ มากกว่า 20 หน่วยงาน ซึ่งในปีนี้ เทศกาลฯ จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “Local Plus” เพื่อยกระดับเชียงใหม่และภาคเหนือ ให้เป็นพื้นที่ “คิดบวก” เติมพลังสร้างสรรค์แบบเหนือ ๆ เชื่อมโลกด้วยความร่วมมือที่ไม่จำกัด กับปีที่ 11 ของเทศกาลสุดสร้างสรรค์ของภูมิภาคเทศกาล CMDW2025 จะจัดขึ้นในวันที่ 6 – 14 ธันวาคม 2568 มาร่วมสำรวจพลังบวกของคนเหนือ ที่นำไปสู่ผลกระทบเชิงบวกอย่างไม่สิ้นสุด ไปพร้อม ๆ กัน ที่เชียงใหม่!#CMDW2025 #ChiangMaiDesignWeek #LocalPlus
01 พ.ค. BBBB