อัพเดทและเที่ยวชมงาน
จาก Blue Zone ถึง Blue Ocean โอกาสทางเศรษฐกิจจากสังคมสูงวัยเชียงใหม่
จาก Blue Zone ถึง Blue Ocean โอกาสทางเศรษฐกิจจากสังคมสูงวัยเชียงใหม่ เมื่อต้นทุนครบ แต่เมือง (อาจ) ยังไม่พร้อมภายในปี พ.ศ. 2578 ประเทศไทยจะกลายเป็นประเทศกำลังพัฒนาแห่งแรกของโลกที่เข้าสู่ “สังคมผู้สูงวัยระดับสุดยอด” (Super-aged Society) หรือมีประชากรอายุเกิน 60 ปี มากกว่าร้อยละ 30 ของประชากรทั้งประเทศแต่ไม่ต้องรอถึงวันนั้น เพราะในวันนี้ เราก็ก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัยเต็มรูปแบบโดยสมบูรณ์แล้ว เพราะไม่ว่าจะมองไปที่จังหวัดไหน ก็ล้วนมีสัดส่วนประชากรที่อายุ 60 ปีขึ้นไป เกินร้อยละ 20 อย่างต่อเนื่องหนึ่งในเมืองที่สะท้อนภาพดังกล่าวได้ชัด คือ “เชียงใหม่” จังหวัดที่เพิ่งได้รับการจัดอันดับว่ามีพื้นที่มากที่สุดในประเทศ และเป็นหนึ่งในจังหวัดที่มีจำนวนผู้สูงอายุสูงสุดจากข้อมูลของกรมกิจการผู้สูงอายุ (ปี 2566) เชียงใหม่มีผู้สูงอายุถึง 404,512 คน คิดเป็นร้อยละ 24.08 ของประชากรทั้งจังหวัด โดยตัวเลขดังกล่าวยังไม่นับรวมจำนวนผู้เกษียณจากต่างประเทศ ทั้งในสหรัฐอเมริกาและยุโรป ที่ต่างเลือกเชียงใหม่เป็นที่พำนักในวัยปลายของชีวิต สิ่งนี้อาจชี้ให้เห็นผลกระทบที่จะตามมาในเมืองที่ต้องพึ่งพาเศรษฐกิจภาคบริการและแรงงานเป็นหลักอย่างเชียงใหม่ หากในอีกมุมหนึ่ง วิกฤตสังคมสูงวัยที่เรากำลังเผชิญก็สามารถเป็นโอกาสได้เช่นกัน Blue Zone เมื่อเมืองยั่งยืน ผู้คนจึงอยู่ยาว ย้อนกลับไปในช่วงต้นทศวรรษมิลเลเนียม ดร.มิเชล ปูลาแล็ง (Dr.Michel Poulain) นักประชากรศาสตร์ชาวเบลเยียม และ ดร.เจียนนี เปส (Dr.Gianni Pes) นักระบาดวิทยาชาวอิตาเลียน ตั้งข้อสงสัยว่าเหตุใดภูมิภาคบาร์บาเกีย (Barbagia) บนเกาะซาร์ดิเนีย ประเทศอิตาลี ถึงมีอัตราของผู้มีอายุยืนสูงกว่าค่าอายุเฉลี่ยของผู้คนทั่วโลก พวกเขาเริ่มศึกษาปัจจัยเบื้องหลัง และใช้ปากกาหมึกสีน้ำเงินวงกลมรอบพื้นที่ดังกล่าวบนแผนที่ ข้อมูลจากการศึกษาถูกตีพิมพ์ในวารสารวิชาการ Experimental Gerontology ในปี 2547 ก่อนที่ แดน บิวต์เนอร์ (Dan Buettner) นักเขียนจาก National Geographic ที่ร่วมทำงานวิจัยกับนักวิชาการทั้งสองท่าน ได้ขยายพื้นที่การศึกษาเรื่องนี้ต่อจนเกิดเป็นบทความสารคดี และหนังสือ Blue Zone ซึ่งตีพิมพ์ในปี 2551 และด้วยเหตุนี้ Blue Zone จึงเป็นที่จดจำในฐานะพื้นที่ ดินแดน หรือเมืองที่มีผู้คนอายุยืนกว่าค่าเฉลี่ยโลก ทั้งยังมีคุณภาพชีวิตที่ดีด้วยโอกินาวา (ญี่ปุ่น) ซาร์ดิเนีย (อิตาลี) นิโคยา (คอสตาริกา) อิคาเรีย (กรีซ) โลมา ลินดา (สหรัฐอเมริกา) และสิงคโปร์ คือ 6 เมืองแรกที่ได้รับการขีดวงด้วยปากกาสีน้ำเงิน ซึ่งแดนได้ค้นพบ 6 ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เมืองเหล่านี้เป็นมิตรกับผู้สูงวัย นั่นคือ1) การที่ผู้คนในเมืองมีวัตถุประสงค์ในการใช้ชีวิต2) พวกเขากินอาหารน้อยแต่พอดี (ประมาณ 80% ของความอิ่ม) 3) มีโภชนาการที่เน้นพืช ผัก ถั่ว ปลา ไขมันดี 4) มีความสัมพันธ์ทางสังคมและครอบครัวแน่นแฟ้น5) มีชุมชนศาสนาหรือความเชื่อเป็นที่พึ่งพิง6) มีวิถีชีวิตที่ไม่เร่งรีบ พักผ่อนอย่างมีคุณภาพสิ่งเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นจากพฤติกรรมของบุคคลเพียงลำพัง หากยังต้องอาศัยสภาพแวดล้อมของเมืองที่เอื้ออำนวย ตั้งแต่บรรยากาศที่ผ่อนคลาย ความหลากหลายของอาหาร การเข้าถึงสุขภาพ ไปจนถึงเครือข่ายความสัมพันธ์ในชุมชนเมื่อมองกลับมาที่เชียงใหม่—เมืองที่ตั้งใกล้ชิดกับธรรมชาติ รุ่มรวยด้วยศิลปวัฒนธรรม ผู้คนมีวิถีชีวิตที่เนิบช้าผ่อนคลาย แลยังสามารถเข้าถึงอาหารการกินที่มีคุณภาพและหลากหลาย ฯลฯ อีกทั้ง เมืองยังมีผู้สูงอายุเกินค่าเฉลี่ย หรือมีอายุมากกว่า 100 ปี มากถึง 1,152 คน (สูงเป็นอันดับ 3 ของประเทศ รองจากกรุงเทพมหานคร และนนทบุรี) เมื่อพิจารณาจากต้นทุนดังกล่าว ว่าไปแล้ว เชียงใหม่ก็มีศักยภาพไม่น้อยที่จะได้รับการขีดวงสีน้ำเงินบนแผนที่ Ready Set Old: แก่ ดี มีสุขข้อเสนอเรื่องการยกระดับเชียงใหม่ให้เป็น Blue Zone ถูกยกนำมาถกเถียงครั้งแรกในนิทรรศการ Ready Set Old: แก่ดี มี สุข นิทรรศการที่เกิดจากความร่วมมือของ CEA, กมลกานต์ โกศลกาญจน์, กริยา บิลยะลา, THINKK Studio และ STUDIO 150 ซึ่งจัดแสดงในเทศกาลงานออกแบบเชียงใหม่ 2567 (Chiang Mai Design Week 2024) นิทรรศการพาไปสำรวจต้นทุนและความพร้อมในมิติต่าง ๆ ของเมืองเชียงใหม่ในการรองรับคุณภาพชีวิตที่ดีของผู้สูงวัย ขณะเดียวกันก็ชวนให้สำรวจโอกาสในการพัฒนาเศรษฐกิจ ผ่านอาชีพที่รองรับ Blue Zone ผ่าน 4 องค์ประกอบสำคัญ อย่างการเข้าถึงอาหารเพื่อสุขภาพที่หลากหลาย (ซึ่งนิทรรศการชี้ให้เห็นโอกาสในการต่อยอดสู่ธุรกิจอาหารเพื่อสุขภาพสำหรับผู้สูงวัย) กิจวัตรประจำวันที่เอื้อให้เกิดการเคลื่อนไหวร่างกายอย่างเป็นธรรมชาติ (อาชีพเทรนเนอร์สำหรับผู้สูงวัย หรือครีเอเตอร์ด้านสุขภาพ) การมีที่อยู่อาศัยที่ครบพร้อมและยังคงความสัมพันธ์แบบครอบครัวขนาดใหญ่ (นักเวชศาสตร์ฟื้นฟูแบบองค์รวม หรือบริการด้านการท่องเที่ยวสำหรับผู้สูงวัย) และการมีเป้าหมายชีวิตผ่านการยึดเหนี่ยวทางศาสนาและศิลปวัฒนธรรม (อาชีพด้านการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม) แม้จะขึ้นต้นด้วยสีน้ำเงิน (Blue) เหมือนกัน แต่ Blue Zone ก็ไม่ได้มีความหมายอะไรที่สอดพ้องไปกับ Blue Ocean หรือนิยามของพื้นที่ทางธุรกิจที่ยังไม่ค่อยมีการแข่งขันแต่กระนั้น เมื่อพิจารณาจากองค์ประกอบข้างต้นทั้งหมด ความพร้อมต่อการเป็น Blue Zone ของเชียงใหม่ ก็อาจนำไปสู่การสร้างพื้นที่ทางเศรษฐกิจใหม่ภายใต้นิยาม Blue Ocean ได้เช่นกันโอกาสที่ (อาจ) ยังไม่เติมเต็มในขณะที่นิทรรศการ Ready Set Old: แก่ดี มี สุข นำเสนอโอกาสในการพัฒนาอาชีพหรือเปิดธุรกิจใหม่ ๆ ที่รองรับกับการเป็นเมืองผู้สูงวัยโดยสมบูรณ์ของเชียงใหม่ ในช่วงท้ายของนิทรรศการ ก็ยังเปิดให้ผู้ชมร่วมกันแสดงความคิดเห็นถึง “ข้อจำกัด” บางประการที่อาจทำให้เชียงใหม่ไม่สามารถสร้าง Blue Zone ดังที่ แดน บิวต์เนอร์ ได้เสนอไว้“การขาดแคลนพื้นที่สีเขียว” และ “มลภาวะทางอากาศ” คือความท้าทายหลัก ที่ผู้ชมนิทรรศการฯ ได้เสนอแนะไว้ ขณะที่บางส่วนมองว่าการที่เชียงใหม่ยังไม่มี “ระบบขนส่งมวลชน” และ “ทางเท้าที่สะดวก” ก็ถือเป็นอุปสรรคสำคัญรองลงมา เช่นเดียวกับสวัสดิการสำหรับผู้สูงอายุจากภาครัฐที่ยังน้อยเกินไป และเมืองยังขาด “พื้นที่เพื่อผู้สูงอายุ” ที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้อย่างครอบคลุมทั้งนี้ เมื่อพิจารณาถึงนโยบายรองรับหรือยกระดับคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุของเมืองเชียงใหม่ ทั้งในระดับหน่วยปกครองส่วนท้องถิ่น และจังหวัด แม้จะมีความพยายามขับเคลื่อนในรูปแบบข้อเสนอเชิงนโยบายจากหน่วยการศึกษาต่าง ๆ (อาทิ วิทยาลัยการศึกษาตลอดชีวิต มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ https://www.lifelong.cmu.ac.th/medee/content/e4aef79ae30907cf0987b9f7016b068f หรือแผนการพัฒนาที่อยู่อาศัยของผู้สูงอายุ ของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ https://www.m-society.go.th/ewtadmin/ewt/MSO_WEB_NEW/news_view.php?nid=41364) หากยังไม่พบนโยบายใดได้ที่ถูกพัฒนาเป็นรูปธรรม รวมถึงแผนการยกระดับศักยภาพที่เมืองมี สู่การพัฒนาเศรษฐกิจที่รองรับโอกาสในเรื่องนี้แต่อย่างใด“จริง ๆ เชียงใหม่ก็มีพื้นที่เพื่อผู้สูงอายุพอสมควรนะ แต่ส่วนใหญ่จะเป็นพื้นที่เอกชนที่มีค่าใช้จ่าย ขณะที่พื้นที่ของรัฐเอง มีค่อนข้างจำกัด และไม่มีการประชาสัมพันธ์เท่าที่ควร” ป้าแดง – นฤมล คลังวิเชียร หนึ่งในคณะกรรมการชุมชนพวกแต้ม ให้ความเห็น“ป้าว่าในเมื่อเมืองเราเข้าสู่สังคมผู้สูงวัยเต็มรูปแบบ การมีพื้นที่กิจกรรม หรือการผ่อนคลายสำหรับผู้สูงอายุ ควรเป็นสวัสดิการหลักที่รัฐต้องจัดหาให้อย่างเท่าเทียม”เช่นเดียวกับมุมมองของ ป้านิด-วนิดา อินทวงศ์ ข้าราชการเกษียณ ที่มองว่าแม้วิถีชุมชนในเมืองเชียงใหม่ เอื้อให้ผู้สูงอายุเข้าถึงคุณภาพชีวิตที่ดี แต่ถ้ามีหน่วยงานมาส่งเสริมให้นิเวศการใช้ชีวิตของผู้สูงอายุสามารถต่อยอดเป็นอาชีพเสริมได้อย่างยั่งยืน สิ่งนี้จะช่วยดึงดูดให้เชียงใหม่เป็นเมืองที่มีความน่าอยู่ขึ้นได้อีกมาก“เรามีศูนย์ฝึกอบรมวิชาชีพผู้สูงอายุ และมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ก็เพิ่งเปิดศูนย์ผู้สูงอายุ (ศูนย์ส่งเสริมพฤตพลังผู้สูงอายุ – https://www.swc.cmu.ac.th/ ) ไปไม่นาน แต่ก็ยังเป็นพื้นที่ที่จำกัด และหลายโครงการก็มีค่าใช้จ่าย ป้าคิดว่าหน่วยงานระดับเมือง ควรมีการบูรณาการพื้นที่เหล่านี้ และเอื้อให้ผู้สูงวัยเข้าถึงการใช้บริการโดยมีต้นทุนค่าใช้จ่ายที่น้อยที่สุด หรือไม่มีเลยยิ่งดี” ป้านิด กล่าวเหล่านี้ คือเสียงสะท้อนบางส่วนจากคน “วงใน” ที่ชี้ว่าถ้ารัฐเข้ามาอุดช่องว่างที่เมืองขาด ตั้งแต่โครงสร้างพื้นฐานของเมือง ไปจนถึงการบูรณาการการทำงานและทรัพยากรที่เมืองมี สิ่งนี้จะสามารถต่อยอดให้เชียงใหม่ ไม่เป็นเพียง “เมืองต้นแบบด้านสุขภาวะ” สำหรับผู้สูงวัย แต่ยังเปิดโอกาสใหม่ ๆ ทางเศรษฐกิจและสังคม ที่ทำให้ความแก่ชรามีความหมายและนั่นไม่เพียงอาจทำให้เชียงใหม่กลายเป็น Blue Zone ลำดับที่ 7 ของโลก แต่ยังรวมถึงการเปลี่ยน Blue Zone ให้กลายเป็น Blue Ocean ที่มี “ผู้สูงวัย” เป็นทั้งกลุ่มเป้าหมายรวมถึงพลังสำคัญในการขับเคลื่อน นิทรรศการ Ready Set Old แก่ ดี มีสุข จัดแสดงในเทศกาลงานออกแบบเชียงใหม่ 2567 ระหว่างวันที่ 7 – 12 ธันวาคม 2567 ณ TCDC เชียงใหม่ที่มา:https://www.bluezones.com/ https://www.ncbi.nlm.nih.gov/books/NBK298903/ https://www.swc.cmu.ac.th
07 ส.ค. BBBB
เติมพลังสร้างสรรค์แบบเหนือ ๆ ยกระดับท้องถิ่นด้วยความร่วมมือที่ไม่จำกัด
โลกที่หมุนไว เศรษฐกิจที่ผันผวน สังคมที่พลิกโฉม และธรรมชาติที่เดาใจยาก – เราจะรับมือกับความท้าทายเหล่านี้อย่างไร ถ้าไม่เริ่มจาก “การร่วมมือกัน” เทศกาลงานออกแบบเชียงใหม่ (Chiang Mai Design Week) เป็นเวทีรวมพลังนักสร้างสรรค์จากทุกสารทิศ ที่เชื่อว่าการผนึกกำลังของคนในพื้นที่ เมื่อจับมือกับเครือข่ายทั้งในและต่างประเทศ จะช่วยเปิดประตูสู่โอกาสใหม่ ๆ ท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนแปลง และผลักดันให้เมืองและชุมชนเติบโตอย่างสร้างสรรค์สู่ทศวรรษใหม่ของเทศกาลออกแบบที่จัดขึ้นครั้งแรกในประเทศไทย เทศกาลฯ กลับมาพร้อมกับแนวคิด LOCAL PLUS (โลคัล พลัส) ยกระดับเชียงใหม่และภาคเหนือ ให้เป็นพื้นที่ “คิดบวก” สำหรับรองรับไอเดียใหม่ ๆ นวัตกรรม ผู้คน ความสนุกสนาน และเมล็ดพันธุ์แห่งความคิดสร้างสรรค์ เปลี่ยนงานออกแบบให้เป็นมากกว่าความงามและการใช้งาน แต่เป็นเครื่องมือขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมที่จับต้องได้จริงไม่เพียงการคิดบวก LOCAL PLUS ยังสะท้อนผ่านเครื่องหมายทางคณิตศาสตร์ที่นำไปสู่ผลลัพธ์ไม่จำกัด:“คูณ” (multiply, ×) เพิ่มพลังสร้างสรรค์เป็นทวีคูณ ขยายพื้นที่จัดแสดงจากเชียงใหม่สู่เครือข่ายเมืองสร้างสรรค์ในภาคเหนือ และเชื่อมพื้นที่ปล่อยของสำหรับนักสร้างสรรค์ท้องถิ่นสู่ระดับสากล “หาร” (division, ÷) แบ่งปันนวัตกรรมและองค์ความรู้ สร้างพื้นที่กลางสำหรับแชร์ไอเดียใหม่ ๆ เพื่อเปลี่ยนความร่วมมือที่ตั้งต้นจากท้องถิ่น เป็นกลไกยกระดับเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตของคนทั้งประเทศและ “ลบ” (minus, −) การประสานความร่วมมือเพื่อขจัดข้อจำกัดที่ทำให้ก้าวไม่พ้น ลดการทำงานซ้ำซ้อน ลดการสิ้นเปลืองทรัพยากร และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมมาร่วมสำรวจพลังบวกของคนเหนือ ที่นำไปสู่ผลกระทบเชิงบวกอย่างไม่สิ้นสุด (infinity, ∞) ในเทศกาลออกแบบเชียงใหม่ 2568 (Chiang Mai Design Week 2025) ครั้งที่ 11 ระหว่างวันที่ 6 – 14 ธันวาคม 2568 ที่เชียงใหม่#CMDW2025 #LocalPlus #ChiangMaiDesignWeek
19 มิ.ย. BBBB
Honey Dialogues คุยกับนักวิจัยน้ำผึ้งถึงศักยภาพที่ไปไกลกว่ารสหวาน
‘Honey Dialogues’ คุยกับนักวิจัยน้ำผึ้งถึงศักยภาพที่ไปไกลกว่ารสหวานรศ.ดร.เทิด ดิษยธนูวัฒน์“หวานปานน้ำผึ้งเดือนห้า” คือคำเปรียบเปรยเก่าก่อนที่สะท้อนถึงความหวานอันเลิศล้ำจากห้วงเวลาที่ดีที่สุดที่ฝูงผึ้งในบ้านเราสามารถผลิตได้กระนั้น น่าสนใจที่ว่าแม้ “น้ำผึ้ง” จะเป็นหนึ่งในวัตถุดิบประกอบอาหารที่เก่าแก่ที่สุดในอารยธรรมมนุษย์ และในบ้านเราจะมีผึ้งมากกว่า 100 สายพันธุ์ (จาก 20,000 สายพันธุ์ทั่วโลก) คนไทยส่วนใหญ่ก็กลับคุ้นเคยแค่ความหวานจากน้ำผึ้งดอกลำไย ซึ่งปัจจุบันเป็นหนึ่งในวัตถุดิบหลักในระบบอุตสาหกรรมอาหารบ้านเราเพียงรสเดียว“น้ำผึ้งให้รสหวาน แต่ผึ้งสายพันธุ์ต่าง ๆ หรือกระทั่งสายพันธุ์เดียวกันที่อาศัยอยู่ในป่าที่มีลักษณะต่างกัน ก็กลับให้รสหวานที่มีมิติที่ต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ หนึ่งในเป้าหมายในการทำงานของผม คือการเปิดมิติของรสชาติให้คนส่วนใหญ่ได้รู้” เบนซ์-วีรวิชญ์ อินทร์ประยงค์ เจ้าของบำรุงสุขฟาร์ม เกษตรกรหนุ่มนักสะสมน้ำผึ้ง หนึ่งในไม่กี่คนของเมืองไทยที่มีน้ำผึ้งไม่ต่ำกว่า 130 รสชาติ กล่าวเราพบเบนซ์ในนิทรรศการคน-ผึ้ง-ป่า (Peoples, Bees, and Forests) ที่จัดขึ้นในเทศกาลงานออกแบบเชียงใหม่ ครั้งที่ 10 (Chiang Mai Design Week 2024) เมื่อเดือนธันวาคมปีที่ผ่านมา เขาได้รับเชิญมาเป็นวิทยากรบอกเล่าถึงความหลากหลายของชนิดน้ำผึ้ง รวมถึงเปิดให้ผู้ชมได้ทดลองชิมน้ำผึ้งชนิดต่าง ๆ ซึ่งสามารถจำแนกเฉดรสได้มากถึง 10 เฉด จากรังผึ้งในป่าท้องถิ่นทั่วประเทศ“ปัจจัยที่ส่งผลต่อรสชาติมีอยู่หลายอย่างด้วยกัน อย่างแรกคือชนิดของผึ้ง ซึ่งแบ่งได้เป็น 2 กลุ่มหลัก ๆ คือผึ้ง และชันโรง (ผึ้งไร้เหล็กใน ในวงศ์ Meliponini ซึ่งพบมากในไทย – ผู้เขียน) โดยในกลุ่มของผึ้งก็มีหลายชนิด เช่น ผึ้งหลวง ผึ้งโพรง ผึ้งมิ้ม ส่วนชันโรงก็สามารถจำแนกได้มากถึง 35 ชนิด” เบนซ์ กล่าว“น้ำหวานจากชันโรงบางชนิดมีรสคล้ายน้ำผึ้ง เช่น พันธุ์ขนเงิน ถ้วยดำ บางชนิดก็จะออกไปทางน้ำส้ม เช่น อุ้งหมี อีตาม่า ส่วนชันโรงดินจะมีความเป็นยาสูง พวกนี้อาศัยในโพรงดิน ซึ่งชันโรงแต่ละชนิดกินอาหารต่างกัน ทำให้รสชาติน้ำหวานก็ต่างกัน”เบนซ์มองน้ำผึ้งป่า การเก็บสะสม ไปจนถึงการจัดจำหน่ายภายใต้แบรนด์บำรุงสุขฟาร์มไม่ต่างจากไวน์ เขาอยากให้ลูกค้าเข้าถึงน้ำผึ้งคุณภาพดีและหลากหลาย ซึ่งสิ่งนี้ไม่เพียงเป็นความมุ่งหมายทางธุรกิจ แต่ยังเป็นแพสชันทางสังคม – เนื่องจากความหลากหลายและสุขภาพของผึ้งคือเครื่องบ่งชี้ความสมบูรณ์ของระบบนิเวศ การที่คนไทยเข้าถึงน้ำผึ้งได้หลากชนิด ย่อมหมายถึงความยั่งยืนของทรัพยากรป่าในบ้านเราในทางเดียวกันข้อมูลจาก World Integrated Trade Solution (WITS) ระบุว่าเมื่อปี 2567 ไทยสามารถส่งออกน้ำผึ้งไปยังตลาดโลกได้มากถึงปีละ 880 ล้านบาท สูงเป็นอันดับ 2 ของอาเซียน (รองจากเวียดนาม) และติดอันดับ 23 ของโลก โดยน้ำผึ้งส่วนใหญ่คือน้ำผึ้งดอกลำไย“ต้องยอมรับว่าน้ำผึ้งลำไยมีสีกลิ่นรสที่ดีมาก อีกทั้งยังมีคุณสมบัติเพื่อสุขภาพที่สูงพอสมควร อีกทั้งเมืองไทยมีผึ้งน้ำหวานถึง 6 ชนิด อย่างน้ำผึ้งโพรง น้ำผึ้งหลวง ถึงจะเป็นน้ำผึ้งลำไยเหมือนกัน แต่ก็ยังมีความหลากหลายของน้ำผึ้งพอสมควร” อาจารย์เทิด – รศ.ดร.เทิด ดิษยธนูวัฒน์ อาจารย์ภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และหนึ่งในทีมงานจัดทำนิทรรศการคน-ผึ้ง-ป่า เล่าถึงเหตุผลว่าทำไมน้ำผึ้งกระแสหลักของไทยต้องเป็นน้ำผึ้งลำไยควบคู่ไปกับความตั้งใจของเบนซ์ที่พยายามส่งเสริมความหลากหลายของน้ำผึ้ง อาจารย์เทิด เลือกลงลึกไปที่การขยายขีดความสามารถของการเลี้ยงผึ้งในฟาร์มอุตสาหกรรมของบ้านเรา โดยเฉพาะผึ้งชันโรง อันเป็นหนึ่งในทางเลือกที่น่าสนใจ จนนำมาสู่โครงการวิจัยพัฒนาผลิตภัณฑ์จากผึ้งและการเลี้ยงผึ้งอย่างยั่งยืน (SMART BEE SDGs) เพื่อขยายศักยภาพและสร้างมูลค่าเพิ่มในการผลิตน้ำผึ้งของเกษตรกรไทย“นอกจากน้ำผึ้งพันธุ์แล้ว ปัจจุบันเกษตรกรไทยก็สนใจเลี้ยงผึ้งชันโรงเพิ่มขึ้นมา เนื่องจากมีความดุน้อยกว่า ตัวน้ำผึ้งมีมูลค่าสูงและมีคุณสมบัติส่งเสริมสุขภาพที่ดีมาก ๆ อีกทั้งการจัดงานประชุมกับเกษตรกรหลายครั้งก็เห็นคนรุ่นใหม่สนใจมาเลี้ยงผึ้งกันพอสมควร ถือเป็นสัญญาณที่ดีของวงการว่ายังมีการสานต่อ” อาจารย์เทิด เล่าถึงภาพรวมของอุตสาหกรรมการเลี้ยงผึ้งในไทยในปัจจุบันงานวิจัยผึ้งของอาจารย์เทิด ไม่เพียงศึกษาทางเลือกในการเพิ่มศักยภาพและการตรวจสอบคุณภาพในการผลิตน้ำผึ้งในบ้านเรา แต่ยังรวมถึงการต่อยอดวัตถุดิบในกระบวนการผลิตสู่สินค้าอื่น ๆ เช่น การสกัดโปรตีนไหมจากผึ้งเป็นเครื่องสำอางคุณภาพสูง ก่อนจะเผยแพร่องค์ความรู้ไปสู่เกษตรกรเลี้ยงผึ้งกลุ่มต่าง ๆ เพื่อเพิ่มช่องทางสร้างรายได้ต่อไป“อีกเรื่องคือการส่งเสริมการผลิตน้ำผึ้งไทยอินทรีย์ เพื่อตลาดมูลค่าสูง ซึ่งเป็นโจทย์ที่ท้าทาย ด้วยนิยามของคำว่าอินทรีย์และการจัดการนั้นยากมาก ต้องมีการศึกษาต่อไป” อาจารย์เทิด กล่าวนอกจากนี้ อาจารย์เทิด ยังเสริมว่า เราสามารถสร้างโอกาสให้ชาวบ้าน คนเก็บน้ำผึ้ง ได้จากการทำเวิร์กช็อป การสร้างเครือข่ายให้เข้มแข็ง การสอนทำผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ หรือ ให้ข้อมูลใหม่จากการวิจัยให้กับเกษตรกรอย่างสม่ำเสมอ ตลอดจนมีการบริการชุมชม อย่างที่ทีมวิจัย SMART BEE SDGs ซึ่งหาทุนวิจัยมารับตรวจน้ำผึ้งจากชาวบ้านโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย เพื่อนำไปใช้ในการส่งเสริมการขายและใช้ได้จริง เกษตรกรหลายท่านเอาไปตั้งโชว์ในการออกบูธทำให้เพิ่มราคาได้ ตลอดจนเปิดตลาดใหม่ ๆ จากการส่งเสริมของภาครัฐและเอกชนเช่นเดียวกับเบนซ์ อาจารย์เทิดยังเสริมว่าน้ำผึ้งให้ประโยชน์กับมนุษย์เรามากกว่าแค่รสหวาน หรือมูลค่าทางเศรษฐกิจ แต่การมีอยู่ของแมลงตัวน้อยผู้ผลิตความหวานเหล่านี้ จะเป็นเครื่องบ่งชี้ถึงความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติอย่างตรงไปตรงมาที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้“หากผึ้งหายไปจากระบบนิเวศ เนื่องจากกิจกรรมมนุษย์หลาย ๆ อย่าง อาทิ การใช้สารเคมี การทำเกษตรแบบพืชเชิงเดี่ยว ผึ้งลดลง พืชพันธุ์ก็ผสมพันธุ์ได้ลดลง พืชผักผลไม้ก็จะหายตามไป เช่นเดียวกับสัตว์กินพืชก็จะลดลง และสัตว์กินสัตว์เองก็จะลดลงตาม จนสุดท้ายก็วนกลับมายังมนุษย์เราเองที่อยู่บนสุดในระบบนิเวศจะขาดแคลนอาหาร” อาจารย์เทิด กล่าว“เมื่อสิ่งแวดล้อมทั้งระบบล่มสลาย มนุษยชาติก็ต้องล่มสลายในที่สุด แต่ถ้ามนุษย์เราอย่างน้อยช่วยกันช่วยปลูกพืชดอกในบริเวณบ้าน รักษาแหล่งน้ำให้ชุ่มชื้น หรือเจอผึ้งไม่ไปทำลายเขา แต่ยิ้มให้เขาสักหน่อย ให้ผึ้งตัวน้อย ๆ เหล่านี้ไปแวะเวียนมาตอม มาช่วยผสมเกสร เพียงเท่านี้ คน ผึ้ง ป่า ก็จะมีกันและกันไปอีกนาน”นั่นล่ะ จะด้วยการสร้างความรับรู้เรื่องรสอันรุ่มรวยของน้ำผึ้งป่าจากงานของเบนซ์ หรือการสร้างมูลค่าเพิ่มจากน้ำผึ้งในระบบอุตสาหกรรมของอาจารย์เทิด การมีอยู่อย่างหลากหลายของผึ้ง มีนัยสำคัญต่อคุณภาพชีวิตพวกเรามากกว่าที่คิดนิทรรศการคน-ผึ้ง-ป่า (Peoples, Bees, and Forests) จัดแสดงระหว่างวันที่ 7-15 ธันวาคม 2567 ที่ TCDC เชียงใหม่ เป็นส่วนหนึ่งของเทศกาลงานออกแบบเชียงใหม่ 2567 (Chiang Mai Design Week 2024)
10 มิ.ย. BBBB
Open Call for CMDW2025
เปิดรับสมัครผู้เข้าร่วมเทศกาลงานออกแบบเชียงใหม่ 2568ระหว่างวันที่ 15 พฤษภาคม – 30 มิถุนายน 2568โอกาสดีที่จะเป็นหนึ่งในฐานะ “นักสร้างสรรค์” ของเทศกาลงานออกแบบระดับประเทศ เติมพลังสร้างสรรค์แบบเหนือ ๆ ยกระดับท้องถิ่นด้วยความร่วมมือที่ไม่จำกัดเทศกาลงานออกแบบเชียงใหม่ (Chiang Mai Design Week) เป็นเวทีรวมพลังนักสร้างสรรค์จากทุกสารทิศ ที่เชื่อว่าการผนึกกำลังของคนในพื้นที่ เมื่อจับมือกับเครือข่ายทั้งในและต่างประเทศ จะช่วยเปิดประตูสู่โอกาสใหม่ ๆ ท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนแปลง และผลักดันให้เมืองและชุมชนเติบโตอย่างสร้างสรรค์สู่ทศวรรษใหม่ของเทศกาลออกแบบที่จัดขึ้นครั้งแรกในประเทศไทย เทศกาลฯ กลับมาพร้อมกับแนวคิด 𝗟𝗢𝗖𝗔𝗟 𝗣𝗟𝗨𝗦 (โลคัล พลัส) ยกระดับเชียงใหม่และภาคเหนือ ให้เป็นพื้นที่ “คิดบวก” สำหรับรองรับไอเดียใหม่ ๆ นวัตกรรม ผู้คน ความสนุกสนาน และเมล็ดพันธุ์แห่งความคิดสร้างสรรค์ เปลี่ยนงานออกแบบให้เป็นมากกว่าความงามและการใช้งาน แต่เป็นเครื่องมือขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมที่จับต้องได้จริงโดยเทศกาลเปิดรับผลงานหรือกิจกรรมจากนักสร้างสรรค์ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ระหว่างวันที่ 15 พฤษภาคม – 30 มิถุนายน 2568 ประกอบด้วย1. การจัดแสดง (𝗦𝗵𝗼𝘄𝗰𝗮𝘀𝗲 𝗮𝗻𝗱 𝗘𝘅𝗵𝗶𝗯𝗶𝘁𝗶𝗼𝗻) การจัดแสดงผลงานที่นําเสนอแนวคิดเพื่อแก้ปัญหาและพัฒนาคุณภาพชีวิต และสามารถสร้างโอกาสใหม่ในการต่อยอดใช้ได้จริง2. กิจกรรมเสริมสร้างความคิดสร้างสรรค์ อีเวนต์ (𝗘𝘃𝗲𝗻𝘁) เวิร์กช็อป (𝗪𝗼𝗿𝗸𝘀𝗵𝗼𝗽) เสวนา (𝗧𝗮𝗹𝗸) ทัวร์ (𝗧𝗼𝘂𝗿) ดนตรีและการแสดง (𝗠𝘂𝘀𝗶𝗰 & 𝗣𝗲𝗿𝗳𝗼𝗿𝗺𝗮𝗻𝗰𝗲)3. ร้านค้าในตลาด 𝗣𝗢𝗣 𝗠𝗮𝗿𝗸𝗲𝘁 เปิดรับร้านค้า สินค้าดีไซน์ แบรนด์ที่สะท้อนศักยภาพพื้นถิ่นด้วยความคิดสร้างสรรค์ที่สอดคล้องกับการใช้ชีวิตอย่างยั่งยืน และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Local Sustainable Living) ได้แก่ เครื่องแต่งกาย ไลฟ์สไตล์ ของแต่งบ้านและอาหาร4. สถานที่ (𝗩𝗲𝗻𝘂𝗲) เปิดรับพื้นที่ที่มีศักยภาพสนับสนุนการจัดแสดงโปรเจ็กต์และกิจกรรมเชิงสร้างสรรค์ ไม่ว่าจะเป็น สตูดิโอ ร้านค้า ร้านอาหาร โรงแรม โกดัง ลานโล่ง เป็นต้น📍สมัครได้ที่: https://www.chiangmaidesignweek.com/apply📢 ประกาศผลการคัดเลือกในวันที่ 15 กรกฏาคม 2568 ผ่านทางเฟซบุ๊กแฟนเพจ Chiang Mai Design Weekเทศกาลงานออกแบบเชียงใหม่ 2568 (Chiang Mai Design Week 2024) จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 6 – 14 ธันวาคม 2568 ณ ย่านกลางเวียง ย่านช้างม่อย-ท่าแพ แล้วพบกันที่เชียงใหม่สามารถดูคู่มือการสมัครได้ที่นี่: https://drive.google.com/file/d/1u26Hl6LJYTz253N_T-ht7iGvg4B8bl3m/view?usp=sharing#CMDW2025 #LocalPlus #ChiangMaiDesignWeek #CreativeCity #BusinessOpportunity #DesignForImpact #CallForCreators
17 พ.ค. BBBB
โอกาสดีในการเปลี่ยนพื้นที่ของคุณ ให้กลายเป็นจุดหมายใหม่ของเมือง!
𝗖𝗵𝗶𝗮𝗻𝗴 𝗠𝗮𝗶 𝗗𝗲𝘀𝗶𝗴𝗻 𝗪𝗲𝗲𝗸 𝟮𝟬𝟮𝟱 ขอเชิญเจ้าของพื้นที่ว่าง หรืออสังหาริมทรัพย์ที่ต้องการพัฒนา เข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของเทศกาล เพื่อเปลี่ยนพื้นที่ของคุณให้กลายเป็นศูนย์กลางแห่งความคิดสร้างสรรค์ จุดเช็กอินใหม่ของเมือง และพื้นที่แห่งการพบปะ แลกเปลี่ยน ที่มีผลกระทบเชิงบวกต่อเชียงใหม่ ด้วยแนวคิด “Local Plus” มาร่วมสร้างสรรค์ เชื่อมโยงชุมชน อย่างยั่งยืนสิ่งที่คุณจะได้รับ:– แนวคิดการใช้พื้นที่อย่างสร้างสรรค์ จากนักออกแบบและทีมสร้างสรรค์ชั้นนำ– โอกาสเผยแพร่พื้นที่ผ่านเว็บไซต์ แผนที่เทศกาล และโซเชียลมีเดียของงาน– โอกาสต่อยอดการพัฒนาในเชิงธุรกิจหรือเพื่อสังคม– การเชื่อมต่อกับเครือข่ายนักลงทุนและผู้สนใจพัฒนาโครงการในอนาคต– สิทธิ์ในการนำภาพกิจกรรมไปใช้ประชาสัมพันธ์พื้นที่ในอนาคตอย่าพลาดโอกาสสำคัญนี้!// เปิดรับสมัครแล้ว // https://www.chiangmaidesignweek.com/apply/สมัครได้ตั้งแต่วันนี้ – 30 พฤษภาคม 2568ร่วมเป็นหนึ่งในสถานที่สร้างสรรค์ของเทศกาล 𝗖𝗵𝗶𝗮𝗻𝗴 𝗠𝗮𝗶 𝗗𝗲𝘀𝗶𝗴𝗻 𝗪𝗲𝗲𝗸 𝟮𝟬𝟮𝟱#CMDW2025 #chiangmaidesignweek #LocalPlus
04 พ.ค. BBBB
การประชุมเครือข่ายผู้ร่วมจัดเทศกาลงานออกแบบเชียงใหม่ (Chiang Mai Design Week)
สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน) เชียงใหม่ ได้จัดการประชุมภาคีเครือข่ายผู้ร่วมจัดเทศกาลงานออกแบบเชียงใหม่ (Chiang Mai Design Week) เพื่อรับฟังความคิดเห็นจากการจัดเทศกาลฯ ในปีที่ผ่านมาและรับข้อเสนอแนะ แนวทางการเตรียมจัดงานเทศกาล CMDW2025 จากบรรดานักสร้างสรรค์ รวมถึงองค์กร สถาบันการศึกษา และหน่วยงานในจังหวัดเชียงใหม่ มากกว่า 20 หน่วยงาน ซึ่งในปีนี้ เทศกาลฯ จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “Local Plus” เพื่อยกระดับเชียงใหม่และภาคเหนือ ให้เป็นพื้นที่ “คิดบวก” เติมพลังสร้างสรรค์แบบเหนือ ๆ เชื่อมโลกด้วยความร่วมมือที่ไม่จำกัด กับปีที่ 11 ของเทศกาลสุดสร้างสรรค์ของภูมิภาคเทศกาล CMDW2025 จะจัดขึ้นในวันที่ 6 – 14 ธันวาคม 2568 มาร่วมสำรวจพลังบวกของคนเหนือ ที่นำไปสู่ผลกระทบเชิงบวกอย่างไม่สิ้นสุด ไปพร้อม ๆ กัน ที่เชียงใหม่!#CMDW2025 #ChiangMaiDesignWeek #LocalPlus
01 พ.ค. BBBB